วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

7 วิธีกู้ข้อมูลใน Harddisk

7 วิธีการกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ถ้าพูดถึงส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด

ในเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่คุณใช้งาน คุณคิดว่ามันคือส่วนไหนครับ?

บางคนอาจจะบอกว่าเป็นซีพียู เพราะมันคือตัวประมวลผลข้อมูลทั้งหมด

บางคนอาจจะบอกว่ามันคือแรม หรือบางคนอาจจะบอกว่ามันคือ

การ์ดจอแรงๆ ซักตัว แต่ผมว่า หลายคนมองข้ามส่วนประกอบที่สำคัญมาก

ไปส่วนหนึ่ง นั่นคือ “ฮาร์ดดิสก์” ยังไงล่ะครับ ทำไมน่ะเหรอ?

ก็เพราะว่าฮาร์ดดิสก์นั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลจนบางครั้งไม่สามารถตีค่าได้

เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ ผมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่จานแม่เหล็กอันบอบบาง

ที่หมุนไปหมุนมา แต่ผมกำลังหมายรวมถึงข้อมูลสำคัญๆ ของคุณที่อยู่ในนั้นด้วยนั่นเอง

โลกของฮาร์ดดิสก์คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฮาร์ดดิสก์นั้นถือว่าเป็นสื่อบันทึกข้อมูล

ที่จะต้องมีไว้ ประจำในทุกๆ เครื่องอยู่แล้ว เพื่อสำหรับเก็บข้อมูล

ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ลินุกซ์

หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ ก็ตาม รวมไปจนถึงโปรแกรมที่คุณต้องใช้ก็ต้องมีการติดตั้ง

ลงในเครื่องด้วยเช่นกัน และส่วนที่สำคัญที่สุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย

นอกเสียจาก “ข้อมูล” นั้นเอง ดังนั้นเมื่อดูจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า

ฮาร์ดดิสก์นั้นเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องเลย ก็ว่าได้

ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมันแล้วล่ะก็ อาจจะต้องนำตาตกเป็นแน่

พื้นฐานโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เพราะเป็นส่วน

ของจานเหล็กที่เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ทำให้มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลง

สนามแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นผิวจานได้ และนั่นก็คือที่มาของการบันทึกข้อมูล

โดยการเปลี่ยนแปลงสนามเหล็กให้การเป็นรูปแบบข้อมูลดิจิตอล

(0 หรือ1, เปิด หรือ ปิด) โดยหน้าที่นี้เป็นของหัวอ่าน-เขียน ซึ่งจะลอยอยู่

เหนือแผ่นจานแม่เหล็กเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เรียงกันอยู่

บนจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์จึงมีปริมาณมาก มายมหาศาล

โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากๆ ลองคิดดูซิครับว่าเราจะต้องมีจุดข้อมูล

ที่บันทึกบนจานแม่เหล็กกี่จุด จึงจะสามารถบันทึกข้อมูลได้ในระดับร้อยกิกะไบต์

หรืออาจจะถึงระดับเทราไบต์ และจุดเหล่านั้นจะต้องเล็กและเรียงชิดติดกันขนาดไหน

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์กลายเป็นชิ้นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนและบอบ

บางที่สุดชิ้นหนึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์เลย Platter หรือจากแม่เหล็ก

ที่ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลในฮาร์ดดิสก์

อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก็คือ ส่วนของแผงวงจรควบ

คุมการทำงาน ซึ่งส่วนนี้จะคอยทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อและรับ-ส่งข้อมูล

กับคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งการควบคุมหัวอ่านเขียนให้สามารถบันทึกข้อมูล

ได้อย่างถูกต้องด้วย โดยเจ้าแผงวงจรนี้ก็จะมีหน้าตาเป็นแผงวงจรแปะติดกับ

ตัวฮาร์ดดิสก์มา มีชิปคอนโทรลเลอร์และแรมซึ่งทำหน้าที่เป็น Buffer ให้

กับการส่งข้อมูลด้วย ถ้าหากแผงวงจรควบคุมนี้เกิดเสียหายขึ้นมา ก็จะทำให้

ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถทำงานได้เช่นกันครับ

จะเอาอะไรมากู้ข้อมูลเวลาที่เราลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว ข้อมูลต่างๆ

ก็ควรจะต้องหายไปถูกต้องไหมครับ แล้วคุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าในเมื่อข้อมูลต่างๆ

มันหายไปแล้ว แล้วมันถูกกู้คืนกลับมาได้อย่างไร ความจริงแล้วคอมพิวเตอร์นั้นแอบ

ขี้โกงเราอยู่เหมือนกันครับ เนื่องจากสื่อบันทึกข้อมูลอย่างฮาร์ดดิสก์เองก็จะทำงาน

หรือเก็บบันทึกข้อมูล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กบนจานเพื่อบันทึกค่า

ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเขียน-อ่านอยู่พอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการลบข้อมูล

ข้อมูลต่างๆ จึงไม่ได้ถูกลบไปจริงๆ แต่จะถูกมาร์กเอาไว้ในระบบไฟล์ว่าข้อมูล

ในส่วนนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว ทั้งที่จริงแล้วข้อมูลก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมันอยู่

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราสร้างไฟล์ 1กิกะไบต์ จึงช้ามาก

ในขณะที่ลบไฟล์ 1กิกะไบต์ นั้นเร็วจนแทบมองไม่ทันกันเลยทีเดียว

ดังนั้นแล้วข้อมูลต่างๆ ของเราก็อาจจะยังคงอยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้

นั่นหมายความว่าเรายังพอมีสิทธิที่จะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดไว้ให้กลับคืนมา

ดังเดิมได้อยู่ และนี่คือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คุณได้ข้อมูลสำคัญๆ คืนมา




1.กู้ไฟล์ที่เผลอลบไปเคยเป็นไหมครับเวลาที่เราทำงานอยู่แล้วรีบๆ บางครั้ง

เราก็อาจจะเผลอกดลบไฟล์งานเอกสารสำคัญๆ ของเราไปด้วย ซึ่งคุณอาจจะบอกว่า

ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อสั่งลบไปแล้ว มันก็จะไปอยู่ในถังขยะหรือว่าเจ้า Recycle Bin แทน

จริงอยู่ครับว่าไฟล์ที่ถูกลบไป มันจะถูกย้ายไปไว้ในถังขยะ แต่สำหรับคน

ที่ต้องการทำงานแบบรวดเร็วจนติดเป็นนิสัย ก็เลยลบข้อมูลอย่างรวดเร็ว

(Shift+Del) งานนี้ข้อมูลของคุณไม่ได้อยู่ในขยะแน่นอนครับ นอกจากนี้

กรณีที่คุณเผลอลบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ถังขยะจะสามารถรับ

ได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไฟล์ของคุณจะได้รับสิทธิในการลบข้อมูลไปเลยโดย

ไม่ต้องผ่านถังขยะด้วยเช่นกัน

ขนาดถังของ Recycle Bin ที่คุณกำหนดไว้อาจจะไม่ใหญ่เพียงพอ

ทำให้ไฟล์ถูกลบไปเลยก็ได้

คราวนี้จะทำยังไงดีล่ะครับ ในเมื่อไฟล์ที่เราลบไปไม่ได้อยู่ในถังขยะอีกแล้ว

ใจเย็นๆ ครับ เหตุการณ์มันยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น อย่างที่เราบอกไว้ครับ

ว่าข้อมูลของคุณจริงๆ นั้นยังไม่ได้ถูกลบไปไหน แต่ยังคงถูกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์อยู่

ซึ่งในตอนนี้ผมขอพูดถึงการกู้ในลักษณะนั้นไว้ภายหลังเนื่องจากเป็นกระบวนการ

ที่ค่อนข้างเสียเวลานานครับ ในเมื่อเรารู้ว่าเราเพิ่งจะลบไฟล์ไปเมื่อตะกี้นี้เอง

ดังนั้นวิธีการกู้ที่ง่ายที่สุดก็ต้องเป็นโปรแกรมประเภท Undeleted

ทั้งหลายที่พอจะช่วยคุณได้ แต่ข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็คือคุณจะต้อง

ติดตั้งโปรแกรมก่อนที่คุณจะลบ ไฟล์นะครับ

หลักการทำงานของโปรแกรมประเภทนี้อยู่ที่การคอยสอดส่องว่าคุณมีการทำงานกับ

ไฟล์อะไรบ้าง มีการลบไฟล์อะไรไปบ้าง แล้วมันจึงแอบเก็บข้อมูลของไฟล์

ที่คุณลบเอาไว้เอง จะว่าไปมันก็เหมือนกับเป็นการทำหน้าที่ Recycle Bin

อย่างลับๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งคราวนี้เราก็จะสามารถกู้คืนไฟล์ที่เราเพิ่งลบไป

ให้กับมาอยู่ในอ้อมอกของ เราได้เหมือนเดิมครับข้อจำกัดของรูปแบบ

การกู้คืนข้อมูลแบบนี้ก็คือโปรแกรมที่ใช้สำหรับการ Undeleted นี้จะต้องติดตั้ง

โปรแกรมลงไปก่อน เพื่อที่จะจะได้ให้มันคอยตรวจสอบไฟล์ที่เราเพิ่งสั่งลบไป

และคอยเก็บข้อมูลสำรองเอาไว้ให้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว

คุณก็จะต้องยอมเสียพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของ

ไฟล์ บางโปรแกรมกินพื้นที่เยอะ เพราะใช้วิธีการแบ็กอัพไฟล์เอาไว้เลย

หรือบางโปรแกรมอาจจะใช้วิธีการเก็บ Log การลบไฟล์เอาไว้ แล้วสั่งถอดมาร์ก

ที่ระบบปฏิบัติการได้ทำไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นไฟล์ที่ถูกลบ ออกไปก็จะกินพื้นที่น้อยกว่า

แต่มันก็จะคล้ายๆ กับการกู้ข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่เรากำลังจะพูดในส่วนต่อๆ ไปอยู่ดี



-----2.ฟอร์แมตไดรฟ์ไป จะกู้กลับมาได้ไหมสำหรับผู้ที่ชอบลงโปรแกรมเอง

หรือติดตั้งระบบปฏิบัติการเอง (อย่างผมเป็นต้น) และมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ

ไว้หลายๆ ตัว (มีหลายไดรฟ์) คงจะมีบ้างที่เกิดฟอร์แมตผิดไดรฟ์

หรือถ้าจะให้ดูใกล้ตัวกว่านั้นอาจจะเป็นกรณีที่ว่าคุณต้องการฟอร์ แมต

ลงวินโดวส์ใหม่อยู่แล้ว หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ล้างเครื่อง” หลังจากสั่งฟอร์แมต

และเตรียมตัวจะลงระบบปฏิบัติใหม่นั้นนึกขึ้นมาได้ว่ายัง มีไฟล์งานสำคัญ

ที่ยังไม่ได้แบ็คอัปอยู่ งานนี้จะทำยังไงล่ะเนี่ยะ ฟอร์แมตก็ทำไปแล้ว

แถมโปรแกรม Undeleted ก็ช่วยไม่ได้อีกต่างหาก

ฮาร์ดดิสก์ที่มีพาร์ทิชันหลายอัน บางครั้งคุณอาจจะเลือก Format ผิดไดรฟ์บ้าง

ก็เป็นได้

โปรแกรม GetDataBack ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับการกู้ข้อมูล

โดยการสแกนฮาร์ดดิสก์ในทุกๆ ตารางนิ้วงานนี้มีอะไรที่พอจะช่วยคืนชีพ

ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกฟอร์แมตไปแล้วได้หรือไม่ คำตอบก็คือมีครับ

เพราะอย่างที่เราบอกไว้ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เราสั่งลบไปนั้นไม่ได้มีการถูกลบไปจริงๆ

เพียงแต่จะเป็นการมาร์กเอาไว้ว่าข้อมูลนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว การฟอร์แมตก็คล้ายๆ กัน

โดยเฉพาะการฟอร์แมตแบบรวดเร็ว (Quick Format) ด้วยแล้ว มันก็เหมือนกับการลบ

ไฟล์ทุกไฟล์ออกไปจากไดรฟ์นั้นเองครับ ในขณะที่การฟอร์แมตแบบเต็ม (Full Format)

ดูจะเป็นอะไรที่สาหัสกว่า แต่ก็สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้อยู่ดี เพราะข้อมูลที่ถูกสั่งลบนั้น

ผ่านการลบแบบลวกๆ จึงยังทำให้เห็นเค้าโครงของข้อมูลเดิมอยู่โปรแกรมที่

ใช้ในการกู้ข้อมูลในลักษณะนี้ก็มีอยู่หลายตัวทีเดียวอย่างเช่น GetDataBack

ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งเลยทีเดียว งานนี้มันจะคอย

สแกนหาข้อมูลต่างๆในฮาร์ดดิสก์ของคุณทั้งหมด โดยไม่สนข้อมูลจากระบบไฟล์

ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นข้อมูลที่ระบบปฏิบัติการมองไม่เห็นหรือก็คือข้อมูล

ที่ถูกลบไปแล้วนั่นเองครับข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็มีอยู่เหมือนกันครับ

เพราะใช่ว่ามันจะสามารถกู้ได้ทุกอย่างที่ขว้างหน้านะครับอย่างแรกเลยก็คือ

มันไม่สามารถกู้ข้อมูลที่ถูกเขียนทับไปแล้วได้ เนื่องจากมันอาศัยการกู้จากเศษข้อมูล

ที่หลงเหลืออยู่ในดิสก์

ดังนั้นถ้าหากว่ามีการเขียนข้อมูลทับในจุดที่มีข้อมูลไปแล้ว ข้อมูลส่วนนั้นๆ

ก็จะไม่สามารถกู้คืนได้นะครับ อย่างเช่นหลังจากฟอร์แมตไปแล้วอาจจะสามารถ

กู้คืนได้ครบทั้งหมด แต่ถ้าติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ทับลงไปแล้วก็อาจจะทำให้

ข้อมูลบางส่วนไม่ สามารถกู้คืนมาได้อีกกรณีหนึ่งที่ไม่สามารถกู้คืนได้

ก็คือกรณีของการ Low Level Format ซึ่งถือว่าเป็นการฟอร์แมตที่ล้างข้อมูลได้

อย่างสะอาดที่สุด เพราะจะมีการจัดรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กใหม่

โดยใช้หลักการเขียนข้อมูลที่เป็น 1 และตามด้วย 0 ไปลงในทุกๆ Sector ข้อมูล

ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า หรือพูดง่ายๆ

ก็คือถูกเขียนทับด้วยข้อมูลเปล่าทั้งหมดนั้นเอง ดังนั้นถ้า Low Level Format

ไปแล้วก็หมดสิทธิครับ แต่ถึงอย่างไรคุณก็คงจะไม่ได้ทำ Low Level Format

บ่อยอยู่แล้วจริงไหมครับ



-----3.กู้พาร์ทิชันที่เสียหายความแน่นอนคือความไม่แน่นอนครับ บางวันคุณอาจจะตื่นขึ้นมา

จากฝันร้าย มาเจอฝันร้ายกว่า เพราะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วบูตไม่ขึ้น

รวมถึงยังไม่สามาถเข้าไปเอาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อีกด้วย

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นไปได้ทั้งจากฮาร์ดแวร์ (ฮาร์ดดิสก์เสียไปเลย)

หรืออาจจะเป็นจากซอฟต์แวร์ซึ่งก็คือเป็นเพียงแค่โครงสร้างข้อมูลของไดรฟ์

หรือพาร์ทิชันเสียหาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเสียด้วยส่วนใหญ่ปัญหา

ที่เป็นสาเหตุทำให้พาร์ทิชันสำหรับเก็บข้อมูลของคุณเกิดปัญหา ขึ้นก็คือ

การเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบไฟล์ ซึ่งเจ้าระบบไฟล์นี้จะเป็น

โครงสร้างข้อมูลที่ชี้ไปยังตำแหน่งของข้อมูลจริงๆ ที่อยู่บนไดรฟ์

คงพอนึกออกใช่ไหมครับว่าถ้าเกิดความเสียหายที่ตัวข้อมูล มันก็อาจจะทำให้

ข้อมูลหายเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดความเสียหายที่ระบบไฟล์ ข้อมูลทั้งหมด

ภายในไดรฟ์ก็จะได้รับผลกระทบไปหมดเลยเครื่องมือที่จะมาช่วยคุณ

ในการแก้ไขปัญหานี้ก็จะเป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ใช้ ในการจัดการ

กับพาร์ทิชันอย่างเช่น Partition Magic ซึ่งนอกจากความสามารถ

ในการสร้าง ลบ ย่อ ขยาย ขนาดของพาร์ทิชันแล้ว มันก็ยังสามารถจะซ่อมแซม

โครงสร้างของพาร์ทิชันหรือระบบไฟล์ให้กับคุณได้อีก ด้วย

โปรแกรม Partition Magic โปรแกรมโปรคู่มือนักกู้ข้อมูลมืออาชีพ

โปรแกรม Active partition recovery เครื่องมือดีๆ ที่ใช้กู้พาร์ทิชันทั้งอันได้

นอกจากนี้ยังมีกรณีของการลบพาร์ทิชันผิด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่า

แบ่งพาร์ทิชันไว้จำนวนมากแล้วเกิดความสับสนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อ

ไดรฟ์มันเปลี่ยนไปในแต่ละระบบปฏิบัติการ ก็ส่งผลให้ข้อมูลในนั้นหายไปหมดด้วยเช่นกัน

ซึ่งในรูปแบบเช่นนี้ก็มีโปรแกรมที่สามารถกู้คืนพาร์ทิชันที่ถูกลบไปได้อยู่

เหมือนกัน เช่น Active Partition Recovery ซึ่งมันจะสแกนดูว่า

เราเคยมีการสร้างพาร์ทิชันอะไรไว้ จากนั้นมันก็จะกู้คืนสถานะของพาร์ทิชัน

ระบบไฟล์ และไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เคยอยู่ในพาร์ทิชันให้กลับคืนมาเหมือนเดิมครับ

เช่นเดียวกับการกู้ข้อมูลที่ได้กล่าวมาก่อนแล้ว นั่นก็คือการกู้จะสำเร็จได้

ก็ต่อเมื่อพื้นที่ข้อมูลนั้นๆ ยังไม่ได้ถูกเขียนทับด้วยข้อมูลใหม่ครับ

ดังนั้นการกู้คืนพาร์ทิชันนั้นก็ยังสามารถทำได้

ถ้าคุณยังไม่ได้สร้างพาร์ทิชันใหม่ขึ้นมาทับ หรืออาจจะมีการสร้างพาร์ทิชันใหม่ได้

แต่ต้องมีขนาดเท่าเดิมครับ ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากเท่าไหร่

โอกาสก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้นครับ อย่างเช่นสร้างพาร์ทชันใหม่

ขนาดน้อยลงกว่าเดิม แล้วฟอร์แมตด้วยระบบไฟล์ที่แตกต่างไปจากเดิม

แล้วลงระบบปฏิบัติการไปแล้วด้วย แบบนี้อาจจะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้แล้วล่ะครับ

ต้องทำใจอย่างเดียว



------4.กู้ฮาร์ดดิสก์ที่เป็น Bad Sectorเมื่อพูดถึง Bad Sector แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้หลายๆ คน

เกลียดมันที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันกำลังจะทำให้ข้อมูลของคุณเสียหายได้ในไม่ช้า

อย่างที่เราได้พูดถึงการทำงานของฮาร์ดดิสก์กันมาข้างต้นแล้ว

จะเห็นว่าฮาร์ดดิสก์เป็นส่วนประกอบที่มีความบอบบางมากทีเดียว

โดยเฉพาะส่วนของจานแม่เหล็กและหัวอ่าน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว

เรียกได้ว่าเส้นผมคนเรายังลอดผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว ดังนั้นหัวอ่าน

ก็อาจจะมีกระทบกับจานแม่เหล็กอยู่เหมือนกันในกรณีที่เกิดแรง

สั่นสะเทือนมากๆ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกแรงกระแทก นอกจากนี้การที่สารฉาบเคลือบผิวของ

จานแม่เหล็กนั้นเสื่อมสภาพ หรือสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้นๆ

ไม่สามารถบันทึกข้อมูล สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิด Bad Sector ขึ้นมาได้

ตามปกติเมื่อข้อมูลของเราโชคร้าย ไปอยู่ในส่วนที่เป็น Bad Sector พอดิบพอดี

ก็จะทำให้ข้อมูลส่วนนั้นๆ ไม่สามารถอ่านได้เลย เนื่องจากฮาร์ดดิสก์จะพยายาม

เข้าไปอ่านส่วนที่เป็น Bad Sector นั้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะสามารถทำได้

ในการกู้ข้อมูลกลับคืนมาก็คือการใช้โปรแกรม ช่วยอย่างเช่น

โปรแกรมสำหรับการสแกนดิสก์ ที่สามารถรองรับการทำ Surface Test ด้วย

เพื่อที่มันจะได้มองหาโปรแกรม Bad Sector ได้ และโปรแกรมเหล่านี้

ก็ยังสามารถที่จะกู้ข้อมูลที่อยู่ที่ Bad Sector ขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย

แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงด้วยเหมือนกันว่าไฟล์ที่กู้ขึ้นมานั้นเป็นไฟล์อะไร

และจะต้องยอมรับด้วยไฟล์ที่กู้คืนมาได้คงจะไม่ได้มีความสมบูรณ์ 100% นะครับ

พร้อมกันนี้โปรแกรมที่ว่านี้ยังช่วยมาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์

มีการเขียนข้อมูลลงไปที่ Bad Sector อีก

โปรแกรมสำหรับทำ Low level Format มีหลายตัว แต่ที่เหมาะคือ “ของผู้ผลิตเอง”

คุณสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ได้จากเว็บของผู้ผลิตเอง

แม้ว่าเราจะสามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่ใน Bad Sector ขึ้นมาได้แล้ว และ

ได้มาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีข้อมูลผู้โชคร้าย

ถูกเขียนลงไปอีก แต่ความน่ากลัวของมันก็ยังไม่หมด เนื่องจาก Bad Sector

อาจจะมีอาการลุกลามเพิ่มขึ้นได้อีกจากจุดเดิม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย

เราจึงควรจะต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุดูเสียก่อน โดยสิ่งที่เราพอที่จะสามารถ

แก้ไขปัญหา Bad Sector ได้ด้วยตัวเองก็คือการทำ Low Level Format ครับ

โดยการทำ Low Level Format นี้สามารถทำได้ผ่านทางซอฟต์แวร์พิเศษ

จากทางผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่คุณใช้ งานอยู่ โดยสามารถไปหาดาวน์โหลดได้

ตามเว็บไซต์แต่ละยี่ห้อได้เลยครับ

สำหรับการทำ Low Level Format นั้นสิ่งหนึ่งที่ควรจะระมัดระวังก็คือ

มันเป็นการจัดโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์ ในระดับของคลื่นแม่เหล็กเลย

ไม่ได้แค่การลบข้อมูลเหมือนกับการ Format ทั่วไป ที่สำคัญ

มันใช้เวลาในการทำงานนานมากๆ ด้วยโดยเฉพาะกับไดรฟ์ที่มีขนาดใหญ่อย่างไ

ดรฟ์ในปัจจุบันที่มีขนาด 200-500GB ด้วยแล้ว แทบจะต้องรอกันหลายชั่วโมงทีเดียว

และในระหว่างที่มันทำ Low Level Format อยู่นั้น ก็ไม่ควรมีการยกเลิกการทำงาน

ไปก่อนที่มันจะทำงานเสร็จ หรือห้ามปิดคอมพิวเตอร์โดยทันที

รวมถึงกรณีที่ไฟดับด้วยครับ ไม่งั้นมันอาจจะเป็น Bad Sector

ไปอย่างถาวรเลยก็ได้



------5.กู้ฮาร์ดดิสก์แบบ USBเดี๋ยวนี้สื่อบันทึกข้อมูลแบบที่เรียกว่า External Harddisk

กำลังเป็นที่นิยมมากเลยนะครับ เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาลต่อวัน

ที่ผู้คนต้องพกพากันในวันนี้ไม่ ใช่มีแค่เพลง MP3 ขนาดแค่กิกะไบต์กันแล้ว

แต่อาจจะมีไฟล์วิดีโอหรือข้อมูลอื่นๆ ในระดับหลายๆ กิกะไบต์เลยก็ได้

ดังนั้นสื่อบันทึกข้อมูลอย่าง Flash Drive อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน

ของผู้ใช้บางคน ดังนั้น External Harddisk แบบ USB จึงเข้ามาเติมเต็ม

ความต้องการให้ แต่ถ้าเกิดข้อมูลสูญหายขึ้นมาจะทำอย่างไรได้บ้าง

จริงๆ แล้วฮาร์ดดิสก์แบบ External ที่เรารู้จักกันมันก็เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ที่ใส่อยู่

ในเครื่องนั่นแหละครับ โดยถ้าเป็นแบบพกพาที่ไม่ต้องใช้ไฟจากอะแดปเตอร์

ก็จะเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้วเหมือนกับของโน้ตบุ๊ก ดังนั้น

เมื่อคุณเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เหล่านี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

มันก็จะมองเหมือนเป็นเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ธรรมดาตัวหนึ่งเลยการ

กู้ข้อมูลของ External Harddisk นั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก

การกู้ข้อมูลภายในเครือซักเท่าไหร่ แต่อาจจะแบ่งกรณีความเสียหาย

ได้ 2 กรณีคือ 1 เสียที่ตัวฮาร์ดดิสก์เอง ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับที่กล่าวมาข้างต้นว่า

คุณสามารถกู้ข้อมูลคืนได้ตั้งแต่การสแกนหาข้อมูลที่ ถูกลบไปจนไปถึงการแก้ไข

Bad Sector ที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ กับอีกส่วนหนึ่งก็คือความเสียหายที่เกิดขึ้น

กับตัวกล่องที่ใส่ฮาร์ดดิสก์

ซึ่งกล่องตัวนี้มีความสำคัญคือช่วยแปลงการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์

ทีเป็น IDE หรือ SATA มาเป็นแบบ USB หรือ Firewire นั่นเอง

ดังนั้นถ้ามันเกิดเสียหายขึ้นมาก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถใช้งานได้

สำหรับในกรณีที่ตัวกล่องเสียนั้น เราต้องดูก่อนว่าฮาร์ดดิสก์พกพาของคุณนั้น

สามารถที่จะแกะกล่องเพื่อเอา ฮาร์ดดิสก์ออกมาได้หรือเปล่า

ซึ่งถ้าคุณซื้อตามร้านประกอบคอมพิวเตอร์ก็อาจจะเป็นแบบที่ถอดได้

ในขณะที่ถ้าคุณซื้อเป็นแบบมียี่ห้ออย่างเช่น Seagate FreeAgent

หรือของยี่ห้ออื่นๆ แล้วก็อาจจะไม่สามารถแกะได้ อันนี้ก็ต้องส่งเคลม

กับศูนย์บริการอย่างเดียวเลยครับ แต่สำหรับแบบที่สามารถแกะได้นั้น

ก็เพียงแค่แกะฮาร์ดดิสก์ออกมาแล้วเชื่อมต่อ กับเครื่องคอมพิวเตอร์

ก็สามารถจะสั่งกู้ข้อมูลหรือก๊อปปี้ข้อมูลออกมาเก็บ ไว้ได้แล้วล่ะครับ



------6.ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กเสีย จะกู้ได้อย่างไรถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของเครื่องพีซีเสีย

การแก้ไขก็คงจะไม่ลำบากมากนั้น เพราะคุณสามารถเปิดเครื่องออกมา

เอาฮาร์ดดิสก์ไปปลั๊กกับเครื่องอื่นเพื่อกู้ ข้อมูลได้ ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์โน้ตบู๊คนั้น

จะมีความยุ่งยากมากกว่า เพราะนอกจากคุณจะแกะฮาร์ดดิสก์ออกมาได้

อย่างยากลำบากแล้ว ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กยังไม่เหมือนกับฮาร์ดดิสก์

บนเครื่องพีซีอีกด้วย นอกจากมีขนาดที่เล็กกว่าแล้ว ยังมีพอร์ตสำหรับ

ต่อสายที่ไม่เหมือนกันด้วย (ยกเว้นฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ที่เหมือนกันและ

สามารถใช้งานร่วมกันได้) ดังนั้นคุณจึงต้องหาสายสำหรับแปลงสัญญาณ

จากฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กมาเป็น IDE สำหรับเครื่องพีซี หรืออาจจะแปลง

ไปเป็น USB เลยก็ได้เช่นเดียวกัน

ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กกับเดสก์ท็อป มีความแตกต่างกันทั้ง

ขนาดและพอร์ตการเชื่อมต่อสายแปลงฮาร์ดดิสก์ IDE

เป็น USB ซึ่งสามารถใช้ได้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5” และ 3.5”

แม้ว่าหัว IDE ของฮาร์ดิสก์โน้ตบุ๊กจะคล้ายกับเดสก์ทอป

แต่ว่าก็ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะหัวมีขนาดเล็กว่า

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มี External Harddisk อยู่แล้ว

และเป็นแบบกล่องที่สามารถแกะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ภายในได้

ก็คือการถอดฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กออกมาแล้วเอาฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กที่เสียใส่

กลับเข้าไปแทน ด้วยวิธีการนี้ก็จะเป็นเหมือนกับการกู้ข้อมูล

จาก External Harddisk อย่างที่เราได้เคยพูดไป

ในหัวข้อก่อนหน้ายังไงล่ะครับ



-----7.จะกู้อย่างไรในเมื่อฮาร์ดดิสก์ Detect ไม่เจอข้อผ่านๆ มาทั้งหลาย

เป็นการกู้ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลง

อินเทอร์เฟซด้วยอะแดปเตอร์เล็กน้อยซึ่งหมายความ ว่าสภาพฮาร์ดดิสก์

ยังทำงานได้ดีอยู่ แต่สำหรับหัวข้อสุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงกรณีที่

ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้เลย หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ

คอมพิวเตอร์มองไม่เห็นว่ามีฮาร์ดดิสก์ต่ออยู่ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เลย

แบบนี้ก็แย่นะซิครับ เพราะโปรแกรมอะไรก็คงไม่สามารถจะกู้ข้อมูล

ในฮาร์ดดิสก์กลับมาได้เลย

สาเหตุของการที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้นั้นมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน

แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเกิดจากแผงวงจรควบคุมที่อยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์นั้นแหละ ครับ

เพราะมันรับผิดชอบในการติดต่อและรับ-ส่งข้อมูลกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว

ดังนั้นถ้าแผงวงจรเสีย ก็แปลว่าคุณก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่

ในจานแม่เหล็กได้อีกเลย ทางเดียวที่สามารถแก้ไขได้ก็คือทำให้แผงวงจร

กลับมาทำงานได้ดังเดิม ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน

ก็จะกลับมาสู่อ้อมอกคุณอีกครั้ง

การจะซ่อมแผงวงจรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่ เพราะว่ามันละเอียดอ่อน

เกินกว่าจะไปซ่อมเองได้ ทางที่ได้ผลมากกว่าก็คือ “การเปลี่ยน” ครับ

ใช่แล้วครับ เราสามารถเปลี่ยนแผงวงจรควบคุมของฮาร์ดดิกส์ได้

เพียงแต่เงื่อนไขการเปลี่ยนก็คือ คุณจะต้องหาฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดเท่ากัน

ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน หรืออาจจะพูดว่าควรจะต้องเหมือนกัน

ทุกประการเลยก็ว่าได้ เพื่อให้แผงวงจร สามารถทำงานทดแทนตัวที่เสียไป

ได้อย่างสมบูรณ์ หลังกจากนั้นเราก็สามารถจะไขน็อต

เพื่อถอดเปลี่ยนแผงวงจรได้เลย โดยมันจะมีสายไฟที่ต่ออยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์

ซึ่งเป็นพอร์ตที่ถอดออกมาได้อยู่ และเป็นสายที่ค่อนข้างบางต้องใช้

ความระมัดระวังเล็กน้อย เพียงเท่านี้ถ้าโชคเข้าข้างคุณ ก็จะสามารถใช้งาน

ฮาร์ดดิสก์และดึงข้อมูลออกมาได้เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ยังอยู่ ในสภาพดีอยู่

เหมือนเดิมแล้วล่ะครับสรุป Backup ไว้

ไม่ต้องรอวัวหายสุภาษิต “วัวหาย ล้อมคอก” ยังคงใช้ได้อยู่

จนถึงปัจจุบันนะครับ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะสามารถกู้ข้อมูลต่างๆ

จากฮาร์ดดิสก์ได้มากเพียงใด แต่จะเห็นได้ว่ามันก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง

เช่นถ้าหามีการก๊อปปี้ข้อมูลทับลงไปในฮาร์ดดิสก์แล้ว

ก็จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้อีก หรืออย่างในกรณีที่ต้องมีการเปลี่ยน

แผงวงจรฮาร์ดดิสก์ โอกาสที่จะหาฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกันเจอนั้น

ก็คงจะมีไม่มากอย่างที่คุณคิด หรอกครับ โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าๆ

ดังนั้นการป้องกันข้อมูลที่สามารถรับประกันผลได้ดีที่สุดก็คือการแบ้กอัพ

นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการแบ็กอัพไปยังฮาร์ดดิสก์อีกลูกหนึ่ง การไรท์ข้อมูล

ที่มีอยู่ใส่ลงในแผ่นซีดีหรือดีวีดี (หลายๆ ชุดเพื่อความปลอดภัย)

โดยเฉพาะกับข้อมูลที่ไม่ค่อยได้มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ แล้ว ย่อมเป็นทางเลือกทีดีที่สุด


ข้อมูลอ้างอิงจาก ผู้เขียน: krootuuy2009

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

เทคโนโลยี 64 บิท VS 32 บิท

สวัสดีครับ.. บทความคราวนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สิ่งที่ผู้ใช้หลายๆคน กังขาอยู่เลยนะครับว่า CPU
หรือเรียกภาษาไทยกันคุ้นๆ ว่าโปรเซสเซอร์ ที่มีเทคโนโลยี 2 เทคโนโลยีในปัจจุบันคือ 64bit และ
32bit นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วเราควรจะใช้งานตัวไหนดี


ก่อนอื่น ผมก็ต้องขออธิบายก่อนนะครับ เทคโนโลยี 64bit นี้นั้นมีมานานแล้ว ในคอมพิวเตอร์ระดับสูง
พวกที่ใช้งาน Databaseที่ทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก หรืองานการคำนวนทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน
จนกระทั้ง AMD ได้นำเทคโนโลยีนี้ลงมาใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
ถือเป็นการเริ่มต้น เทคโนโลยี 64bit สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และทาง Intel ก็ได้ตามมาทีหลัง
และเทคโนโลยีนี้ก็อยู่บน เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลากว่า 1 ปีจนในที่สุดก็มาลงในโนตบุค
ซึ่งก็คือ AMD อีกเช่นกันที่เป็นคนเริ่ม ในชื่อของ AMD turion64 เอาเป็นว่าว่า CPU
ของโนตบุคในตลาดปัจจุบันนั้น มีตัวไหนบ้างที่ เป็น 64bit และตัวไหนบ้างที่เป็น 32bit ดังนี้

32 bit

Intel Celeron M
Intel Pentium M
Intel Core Solo
Intel Core Duo
AMD Mobile sempron


64 bit

Intel Core 2 Duo
AMD Turion64
AMD Turion64x2
AMD Mobile Athlon 64


โดย CPU ของทั้ง 2 ค่ายที่เป็น 64bit นี้ AMD จะใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า x86-64
ส่วน Intel จะใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า EM64T โดยชื่อเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ผ่าน
โปรแกรม cpu-z ในหัวข้อ CPU ตรงช่อง instruction ครับ ซึ่งเทคโนโลยี 2 ตัวนี้
จะแตกต่างกันภายในเล็กน้อยแต่ว่า โดยตัวคอนเซปแล้วจะเหมือนกันนะครับ

แล้วอะไรคือ 64bit? -- คำตอบอันนี้จะเป็นในส่วนของทางด้านเทคนิคนิดนะครับ คือ CPU ปกติ
จะมีความจำของตนเองไว้ใช้งานภายในขนาดหนึ่ง ซึ่งหน้าที่ของความจำนี้ก็คืออ้างอิงถึงคำสั่งที่จะใช้งาน
และอ้างอิงถึงข้อมูลที่จะมาใช้คำสั่งนั้น

โดยถ้าเป็น 32bit นั้นการอ้างถึงความจำแต่ละครั้งนั้น จะได้ข้อมูล
กลับมา 32bit (1 bit มีค่าได้ 2 รูปแบบคือ 1 ,0 เท่านั้น) แต่ถ้าเป็น 64bit
ก็จะได้ข้อมูลกลับมา 64bit ถ้าเรามาคำนวนดูว่า 64bit นั้นมีค่ามากกว่า 32bit ขนาดไหนก็คือ

32bit มีค่าประมาณ 4,000,000,000.-
64bit มีค่าประมาณ 18,000,000,000,000,000,000.-

จะเห็นว่า 64bit นั้นน้อยกว่า 32bit แบบเทียบกันไม่ได้ซึ่งด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้ CPU ประเภท 64bit นั้น
จะมีความสามารถสูงกว่า CPU 32bit เป็นอย่างมาก(โดยความสามารถนี้ไม่ได้แสดงออกมา
ทางด้านความเร็วอย่างเดียว แต่ว่าออกมาทางด้านปริมาณหน่วยความจำ
ความง่ายในการเขียนโปรแกรม และCPU สามารถทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นด้วย) แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นความแตกต่างอันนี้
ในปัจจุบันนั้นก็เพราะว่า CPU ที่เป็น 64 บิตนั้นจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพที่มีอยู่ก็ต่อเมื่อ

1-ระบบปฏิบัติการรองรับเต็มที่
2-โปรแกรมที่เราจะใช้งานรองรับ
3-driver ของอุปกรณ์ต่างๆ รองรับ


ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ล้วนแล้วแต่ยังมีปัญหาในการรองรับในปัจจุบัน เราจึงยังไม่จะยังไม่เห็นความแตกต่าง
ของโปรแกรมประเภท 32bit และ 64bit นักแต่ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
นับตั้งแต่ Window XP ได้ออก 64bit version สำหรับ CPU 64bit ออกมา,
Window Vista ที่ออกมาทั้งแบบ 32bit และ 64bit ,และโปรแกรมต่างๆที่เริ่มทยอยออก
เวอร์ชั่น 64bit กันออกมาแล้ว สิ่งเหล่านี้นับเป็นสัญญาณที่ทำให้แน่ใจได้ว่า ในอนาคต
การใช้งานประเภท 64bit คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้แน่นอน


ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่าง 64bit และ 32bit คือ

สามารถใช้แรมเพิ่มจาก เดิม 4GB เป็น 128GB (จริงๆแล้วซัพพอร์ตได้มากกว่านี้แต่ว่าถูกจำกัดไว้โดย Window)
โปรแกรมประเภท 64bit จะทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมตัวเดียวกันประเภท 32bit

(เงื่อนไข : โปรแกรม 64bit ทำงานบนระบบปฏิบัติการ 64bit และ โปรแกรม 32bit

ทำงานบนระบบปฏิบัติการ 32bit) แต่ไม่เห็นผลต่างนี้ในเกมปัจจุบัน
โปรแกรม 32 บิตสามารถรันบน CPU64bit ได้แต่ว่า โปรแกรม 64bit ไม่สามารถรันบน CPU32bit ได้
ต่อมาก็เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับผู้ที่จะซื้อโนตบุคนะครับ คือ เราสมควรจะซื้อ CPU ประเภทไหนกันแน่

ระหว่าง 32bit หรือ 64bit
คำตอบของคำถามนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ด้วยนะครับ ที่จะช่วยเลือกว่าเราจะซื้อ CPU ประเภทไหนดี

จุดแรกคือ CPU ประเภท 64bit ในปัจจุบันนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า ตัวที่เป็น 32bit ทุกตัว

แต่ว่าเรื่องการประหยัดพลังงานนั้น ถึงแม้ว่า CPU ประเภท 64bit จะมีเทคโนโลยีในการประหยัดพลังงานใหม่ๆ

เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นเก่าก็ตามแต่ว่าเนื่องจาก CPU เหล่านี้เป็นแบบ Dual-core จึงเป็นที่แน่นอนว่า

ย่อมกินไฟมากกว่า CPU ประเภท single-core แน่นอน
และอีกจุดนึงก็คือ CPU 64bit เหล่านี้มีราคาที่แพงกว่า CPU ประเภท 32bit

พอสมควรจึงเป็นตัวเลือกให้ตัดสินใจสำหรับผู้ใช้ได้
-->> ต่อไปเป็นการเลือก CPU จากการใช้งานนะครับ
สำหรับผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ หลักๆแล้วเป็นการใช้งานที่เบาๆ ไม่มีอะไรมาก เช่น ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ

ทำงานเอกสาร office ง่าย มีไว้เพื่อโอนไฟล์เพลงลง MP3 player หรือ

งบประมาณจำกัด(ต่ำกว่า 25,000 บาท) ก็ควรเลือกเครื่องที่ราคาถูก และแค่ใช้งานของเราได้ก็พอ

ผมแนะนำให้ใช้เป็น Celeron M นะครับเพราะว่าเพียงแค่นี้ก็สามารถรองรับการใช้งานได้สบายๆ แล้ว
สำหรับผู้ที่ใช้งาน นอกบ้าน และใช้โนตบุคเพื่อการพรีเซนสินค้า ฉายสไลด์ นำไปโชว์ผลงาน หรือพูดอีกอย่างก็คือใ

ช้โนตบุคเป็นเครื่องสำรองสำหรับการพกพาไปใช้แสดงผลงาน โดยที่ตนเองใช้งาน PC เป็นหลักอยู่แล้วก็ควรใช้งานโนตบุค

ที่ ไม่ต้องมีประสิทธิภาพสูงนัก เพราะว่าเป็นแค่การใช้งานชั่วครั้งชั่วคราว และเน้นทางด้านการประหยัดพลังงานซะมากกว่า

ผมแนะนำให้ใช้เป็น Celeron M ,Core Solo นะครับเพราะว่า CPU รุ่นนี้สามารถประหยัดพลังงาน

ได้มาก ใช้งานนอกสถานที่ได้เป็นเวลานาน
ต่อมาสำหรับผู้ใช้ที่ ใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางครับพวก วิศวกรรม ,ไฟฟ้า ,ตัดต่อวีดีโอ ฯลฯ นั้น

ผมแนะนำให้เลือก CPU ที่รองรับอนาคตเพราะว่าโปรแกรมเฉพาะทางเหล่านี้มีโอกาสที่เวอร์ชั่นต่อไป

ที่จะออกมาเป็น แบบ 64bit นั้นค่อนข้างสูงเพราะว่าโปรแกรมเหล่านี้ถ้าใช้งานในระบบ 64bit

จะทำงานได้รวดเร็วขึ้นมาก โดย CPU ที่แนะนำคือ Turion64 ,Turion64x2 ,Core2Duo

(ได้ทั้ง 2 รุ่นคือ t5xxx และ t7xxx)
สำหรับผู้ใช้งาน ระดับทั่วๆไป ที่มีงบประมาณกลางๆ ระดับ <45,000>

ที่จะให้โนตบุคนั้นใช้งานได้ไปอีกนาน และใช้โปรแกรมเล่นไปเรื่อย แบบว่าใช้งานกว้างๆ

นั้นผมก็ขอแนะนำเป็น CPU Turion64x2 และ Core2Duo ตระกูล t5xxx ครับ เ

พราะว่าประสิทธิภาพของ 2 ตัวนี้นั้นสามารถรองรับการใช้งานของโปรแกรมใหม่ๆ ไปได้อีกนาน

และด้วยตัวของมันเองที่รองรับการใช้งาน 64bit ทำให้สามารถรองรับโปรแกรมในอนาคตได้

สุดท้ายนะครับสำหรับผู้ใช้งานที่มีงบประมาณสูง (ระดับ >70,000 ขึ้นไป) ผมก็แนะนำให้เลือกใช้

CPU Core 2 Duo ตระกูล t7xxx นะครับเพราะว่า CPU ตระกูลนี้ได้รับการยอมรับเลยว่าเร็วที่สุด

ในปัจจุบันแล้ว และเราก็มีเงินเหลือเฟือที่จะเลือกใช้โนตบุครุ่นที่เราอยากได้ ถ้าไงแล้วก็เลือกรุ่นที่เร็วที่สุด

ไปเลยดีกว่า ครับคือการเลือกในข้อนี้นั้น ไม่ต้องพิจารณาอะไรมากครับ เพราะด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก

ทำให้เราสามารถเลือกเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดที่เราต้องการได้อยู่แล้ว ครับไม่คำนึงถึงการใช้งาน

เพราะว่าแน่นอนว่าความสามารถระดับนี้ย่อมทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ครับสำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี CPU ใหม่ที่เรียกว่า 64bit นี้จะทำให้ผู้ที่สงสัย นั้น

ได้หายข้องใจกันลงได้นะครับ หรือผู้ที่กำลังลังเลใจในการเลือกซื้อจะได้ สามารถเลือกซื้อได้อย่างสบายใจ

ไม่ต้องเก็บมานั่งคิดให้เครียดกันอีกต่อไป



ขอขอบคุณบทความจาก http://www.notebookspec.com/

CPU Intel 32 นาโนเมตร

Intel เปิดเผยเทคโนโลยีการผลิตโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตรเป็นครั้งแรกของโลก


จากการแถลงข่าวที่ทาง Intel ได้จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ซานฟานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเทคโนโลยีโพรเซสเซอร์ที่ลดลงจาก 45 นาโนเมตร
เป็น 32 นาโนเมตร โดยในการสาธิตประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ที่ทำการผลิตด้วย
เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้จะเป็นการทดสอบทางด้านของ Desktop (PC) และ
Laptop (Notebook) ก่อน โดยการผลิตโปรเซสเซอร์ Desktop และ Laptop
ด้วยเทคโนโลยี 35 นาโนเมตรนี้ ทาง intel ได้ตั้งชื่อให้ว่า “Westmere” (เวสท์เมียร์)
โดยจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 โดยขั้นตอนการผลิตโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตรนี้
จะส่งผลให้การทำงานของโปรเซสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทาง intel
ได้แจ้งว่า “จะทยอยนำโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในขั้นตอนการผลิน Westmere นี้
ไปใช้กับ Desktop , Laptop และ Saver ตามลำดับ”
intel ได้อธิบายถึงการทดสอบ CPU ในรูปแบบเทคโนโลยีการผลิต 32 นาโนเมตร
เป็นครั้งแรกของโลก!!!

ขั้นตอนในการผลิตโปรเซสเซอร์ด้วยเทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้ จะผลิตด้วยเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์
ที่มี Hi-K metal gate อยู่ด้วย Hi-K metal gate คืออะไร??
Hi-K เป็นเทคโนโลยีที่ Intel ได้พัฒนาขึ้นมาจากการผลิตทรานซิสเตอร์ โดยคุณสมบัติของเทคโนโลยีนี้
คือ จะช่วยลดการรั่วของกระแสไฟฟ้าภายในทรานซิสเตอร์ ที่มีผลต่อการออกแบบขนาดการผลิตที่เล็ก
และการใช้พลังงาน เมื่อเปรียบเทียบกับในรุ่นก่อน ๆ อย่าง 45 นาโนเมตรซึ่งใช้ เทคโนโลยี Hi-K นี้เช่นกัน
ในการผลิต จะเห็นได้ว่าด้วยขนาดที่เล็กลงทำให้การลงทรานซิสเตอร์เข้าไปในโปรเซสเซอร์ทำได้ง่ายขึ้น
มีผลทำให้การใช้พลังงานลดลงไปด้วย

คุณสมบัติของโปรเซสเซอร์ที่ใช้กระบวนการผลิต “Westmere”
เทคโนโลยี Intel Turbo Boost : เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเร่งการทำงานของคอร์ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในขณะนั้น
เพื่อเร่งประสิทธิภาพในการประมวลผลของโปรเซสเซอร์
เทคโนโลยี Intel Hyper-Threading (2 C 4 T)
แคชมีขนาดถึง 4 MB พร้อมทั้ง integrate Memory Controller (IMC)
รองรับ DDR 3 -2ch


เนื่องจากการผลิตด้วยเทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้ทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับลงระบบกราฟิกในตัวเพื่อรองรับ
การทำงานของการใช้การ์ดจอแยกและสลับการทำงานระหว่างกราฟิกในตัวของโปรเซสเซอร์และการ์ดจอ
ตารางรหัส ของ Nahalem และ Westmere และรายละเอียดทั้งหมด


สวัสดีค๊าบ...............................................