tag:blogger.com,1999:blog-52305317711346107572024-03-13T21:48:56.612-07:00ITsellingITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.comBlogger21125tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-17164122566419540102009-06-09T11:35:00.000-07:002009-06-09T12:03:10.354-07:00Mainboard(วิธีเลือกซื้อเมนบอร์ด)<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwm8r6FW17g4ggCYSBJNLVapWuasR5Lf4Emb5Dx8ggOEyrzV6CCVmrwySgkvoO8oIW53Rp_f5Y5E1O-jXSlb8zz-HkZ557T1rMl-p3aJR-gE23tGMcYEspXpi5NRvQwoIcdLx7XIqx3t0/s1600-h/mainboard-01.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5345403048782332162" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 546px; CURSOR: hand; HEIGHT: 287px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwm8r6FW17g4ggCYSBJNLVapWuasR5Lf4Emb5Dx8ggOEyrzV6CCVmrwySgkvoO8oIW53Rp_f5Y5E1O-jXSlb8zz-HkZ557T1rMl-p3aJR-gE23tGMcYEspXpi5NRvQwoIcdLx7XIqx3t0/s400/mainboard-01.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">Mainboard (เมนบอร์ด) หลายๆท่านเวลาซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่อง สิ่งแรกที่ท่านดูก็คือCPU RAM แต่ สิ่งที่ท่านมองข้ามและสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆเลยก็คือ เมนบอร์ด ผมเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเมนบอร์ดมากๆ โดยที่ ทุกครั้งที่ประกอบเครื่องคอมพ์ สักตัวหนึ่งสิ่งแรกที่ทำคือเลือกเมนบอร์ด<br />เพื่อนๆผมหลายๆคน ต้องการซื้อคอมพ์ประกอบเองแต่ไม่มีความรู้ ก็มาไหว้วานให้ไปเป็นเพื่อนผมก็มักจะปฎิเสธไม่ได้เสมอๆ จึงอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นแนวทางอีกอย่างหนึ่งในแง่มุมที่ผู้อ่านอาจจะไม่เคยมองเห็นว่า เมนบอร์ดมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ??<br />การจะประกอบคอมสักเครื่องหัวใจหลักผมยกให้ เมนบอร์ดไม่ใช่ CPUเพราะในการอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงการต่อพ่วง หรือแม้กระทั่งโมดิฟายขีดจำกัด การอัพเกรดจะอยู่ที่ Mainboard ครับลองคิดดูว่าหากอยากจะเปลี่ยนแรมจาก DDR2 667 MHz มาเป็น DDR2 800 MHz แต่บัสของMainboardรองรับได้แค่ 667 MHz ก็น่าเสียดายที่อัพเกรดไม่ได้ ดังนั้นถ้าคิดจะอัพเกรดในภายภาคหน้าให้เลือกเมนบอร์ดที่สามารถอัพเกรดได้ไม่ติดขัด หากไม่คิดจะอัพเกรดก็ไม่จำเป็นจะต้องซื้อMainboardเกินตัว<br />อยากใช้สเปคแรงแค่ไหน Mainboard นี่แหละตัวควบคุมสเปคเหล่านี้เลยมาดูกันว่า Mainboard บอกอะไรกับเราบ้าง</span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;"></span></strong> </div><div><strong><span style="font-size:130%;">1.CPU ปัจจุบันมี 2ค่ายคือ Intel และ AMD ต้องการใช้ค่ายไหนก็เลือก SOCKET Mainboard ให้ตรงกับCPUด้วยนะครับ แล้วCPU แต่ละรุ่น จะมีSOCKETแตกต่างกันตามการผลิตเช่น CPU Intel รุ่นเก่าๆหน่อยจะ เป็น SOCKET 458(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) แต่ปัจจุบัน SOCKET ของ INtel ทุกรุ่นจะเป็น SOCKET 775 ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ตระกูล Pentium ไปจนถึงCore 2 Duo เลย ตอนนี้ปี2009 Intel กำลังจะเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่หันไปใช้ SOCKET ใหม่ซึ่งใช้กับCPU Core i7 แล้วSOCKET 775ก็จะเริ่มถูกแทนที่ด้วยSOCKETใหม่ตัวนี้ จนกระทั่งหมดความนิยมไป<br /></span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;">2.Chipset (ชิปเซ็ท)Chipset เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของเมนบอร์ดทุกรุ่นเลยก็ว่าได้ประสิทธิภาพของเมนบอร์ดมีชิปเซ็ทเป็นตัวบ่งชี้ ยิ่งชิปเซ็ทมีประสิทธิภาพสูงการคอนโทรลอุปกรณ์ต่อพ่วงทุกชิ้นยิ่งมีประสิทธิภาพสูงตามไปด้วย<br />Chipsetมีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต่อพ่วงเข้ามากับตัวเมนบอร์ดจะมีChipset 2ตัวคือ Chipset NorthBridgeและChipset SouthBridgeChipset NorthBridge จะทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ที่มีความเร็วสูงจำพวก CPU RAM และ GraphicardChipset SouthBridge จะควบคุมอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ที่มีความเร็วต่ำเช่น Harddisk Printer DVD-Writer เป็นต้นนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการควบคุมระบบชั้นสูงเช่น Multi GPU , RAID , Over Clock เป็นต้น<br />Chipset มีการพัฒนาออกมาเรื่อยๆประสิทธิภาพการทำงานก็ดีขึ้นตามแต่ละชิปเซ็ทดังนั้นการเลือกซื้อChipsetให้เหมาะกับการใช้งานต้องอาศัยประสบการณ์และการค้นคว้าหาข้อมูลของChipsetแต่ละตัวว่ามีความสามรถจัดการ อุปกรณต่างๆได้ดีเพียงไรปัจจุบันในปลายปี2008-ต้นปี2009 Chipset Intelที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงคือ Chipset P45<br />ยกตัวอย่างเช่น Chipset A มีระบบ Dual Chanelแต่ Chipset B ไม่รองรับระบบ Dual Chanel<br />เมนบอร์ด Chipset A เมื่อเปิดใช้งานระบบ Dual Chanelของ RAM จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของ RAM ดีกว่าเพราะว่าRAMวิ่งรับส่งข้อมูลแบบ 2ทาง<br /></span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;">3.Slot PCI Mainboard ในปัจุบันจะมี Slot PCI , PCI 1x , PCI 16xมาให้อยู่แล้ว แต่จะกล่าวถึง Slot PCI 16x เนื่องจากเป็น SLOT ที่ใช้เสียบการ์ดจอ ดังนั้น การเลือกแบบ มี 1Slot หรือ2Slot ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานว่าจะใช้การ์ดจอกี่ตัว ส่วนSLOT PCI ,PCI 1x จะใช้กับการ์ดต่อพ่วงความเร็วต่ำเช่น การ์ดTV , Soundcard เป็นต้น<br /></span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;">4.Port IDEและSATA2IDEและSATA2 มีไว้ต่อกับฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีมาให้ทั้ง 2พอร์ทแต่บอร์ดรุ่นเก่าๆจะไม่มีพอร์ท SATA2 มาให้ข้อแตกต่างของการเชื่อมต่อทั้ง2พอร์ทนี้คือ IDE/ATAจะต่อด้วยสายแพ 40-80เส้นตามแต่ละอินเตอร์เฟซ แต่SATA2 จะใช้สายแพขนาดเล็ก7เส้นเป็นตัวรับส่งข้อมูลซึ่งมีความเร็วสูงกว่าIDEมาก จะใช้ฮาร์ดดิสก์แบบใด ใช้กี่ลูกก็อย่าลืมดูจำนวนพอร์ทด้วยนะครับ<br /></span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;">5.พอร์ทอื่นๆ -พอร์ท USB ปัจจุบันจะมีติดกับบอร์ดมาให้แบบพอเพียง-พอร์ท LAN จะมีแบบ 10/100 และ 1000(กิกะบิทแลน)เลือกใช้กันตามสะดวกนะครับ-พอร์ทพริ้นเตอร์ พอร์ทเหล่านี้มักจะมีมาให้อย่างเพียงพอกับการใช้งานเสมอครับ<br /></span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;">6.การเลือกวัสดุการผลิตส่วนประกอบของเมนบอร์ด จะประกอบไปด้วยแผ่นวงจรหรือที่รียกกันว่าแผ่นปริ๊นท์-Capacitor(คาปาซิเตอร์)ตัวเก็บประจุ มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกหุ้มด้วยพลาสติกด้านอกแต่ความจริงแล้วข้างในเป็นกระดาษชุบสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าเวลาใช้ไปนานๆ จะเกิดอาการบวม จนถึงระเบิดก็มีในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆจะหันไปใช้ คาปาซิเตอร์แบบใหม่ที่เป็นกระป๋องอลูมีเนียมแทน นอกจากจะมีอายุการใช้ที่นานกว่าแบบเดิมแล้ว ยังสามารถเก็บประจุได้ดีกว่า การั่วไหลของประจุน้อย ลดความร้อนที่เกิดขึ้นและทนแรงดันได้สูงทำให้สามารถ Over Clock ได้เสถียรขึ้นในสภาพที่ป้อนแรงดันสูงๆคาปาซิเตอร์รุ่นใหม่นี้เรียกว่า Solid Capacitor </div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5345404817935419490" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 264px; CURSOR: hand; HEIGHT: 242px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSupnCv9c3nzj43TbZ6Dog4QQUmXWy5uCAd00BpH7rmalg63tz6iIaDSFQ1UrdJMk3XrVEfAiabVmTzDJA13VT_YBomj1LrJYnTTfFKWglQulLnAYtuZ1R6uOLrb3g6H2VV9uvMVQEZ3Y/s400/2009-06-10_020002.png" border="0" /><br />-Choke ตัวสำรองไฟ เป็นเสมือนหม้อแปลงขนาดเล็กคอยสำรองไฟเพื่อจ่ายไฟให้กับวงจรย่อยในเมนบอร์ดตัวสำรองไฟรุ่นเก่าจะเป็นแกนโลหะพันด้วยทองแดง ซึ่งเกิดความร้อนสูง การนำกระแสไฟฟ้าไม่ดีเท่าที่ควรจึงมีการพัฒนารูปแบบใหม่ขึ้นมาเรียกว่า MOSFET จะใช้เปลี่ยนจากแกนโลหะเป็นแกรเฟอร์ไรท์ที่มีประสิทภาพดีกว่าแบบแกนโลหะและ หุ้มด้วยกล่องขนาดเล็กอย่างดีไม่เห็นด้านใน<br />-ภาคจ่ายไฟ หากเป็นเมนบอร์ดทั่วไปคงไม่มีปัญหาเพราะเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้วแต่บอร์ดที่ ต้องยัดอุปกรณ์แรงๆ มีการเรียกใช้ไฟฟ้ามหาศาล จึงจำเป็นจะต้องมีภาคจ่ายไฟที่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอต่อความต้องการในทันที เมนบอร์ดบางตัวมีภาคจ่ายไฟ8เฟสเลยก็มีแต่ถามว่าภาคจ่ายไฟหลายๆเฟสดีไหม ตอบว่าดีที่ไม่แย่งกันออกมาแบบเฟสน้อยๆแต่ต้องดู Power Supply ด้วยว่าถ้าจ่ายไฟไม่พอจะมีกี่เฟสก็ไม่ช่วยอะไรครับ<br /></span></strong></div><div><strong><span style="font-size:130%;">7.ต่อเนื่องมาจากข้อ2เรื่องชิปเซ็ทความสามรถบางตัวของเมนบอร์ดที่เราไม่ได้ใช้งาน หากเราซื้อมาแล้วก็ถือว่าเสียตังซื้อมาเปล่าๆเช่น ฟังก์ชั่น MUlti GPU (Cross Fire / SLI) ซึ่งราคาเมนบอร์ดที่มีกับไม่มีฟังก์ชั่นนี้ ราคาจะต่างกันพอสมควรเลยหรือจะเป็น รุ่นOVER Clock ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้OVER Clock ก็หันไปใช้รุ่นธรรมดาดีกว่าเพราะราคาค่าตัวต่างกันหลายตังค์อยู่<br />ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า...การเลือกซื้อสินค้าอะไรสักอย่างหากศึกษาข้อมูลให้เข้าใจแล้วรับรองว่าคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปแน่นอนครับ<br /></span></strong><a href="http://www.truecom.co.cc/"><strong><span style="font-size:130%;">www.truecom.co.cc</span></strong></a></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-24915887280402952392009-04-29T13:51:00.000-07:002009-04-29T14:01:20.296-07:00RAM<span style="font-family:verdana;"><strong>Memory<หน่วยความจำ></strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆซึ่งต้องคอยทำงานร่วมกับ CPU อย่าง</strong></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>ไกล้ชิดตลอดเวลา ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลพักข้อมูล หรือคำสั่งต่างๆที่ใช้ประมวลผล </strong></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>โดยจำแนกได้ออกเป็น 2 ลักษณะคือ หน่วยความจำสำรอง และ หน่วยความจำหลัก<br /></strong></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong></strong></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong></strong></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>***หน่วยความจำสำรอง <secoundary>คืออุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูลเก็บไว้ได้ โดยที่ไม่ตองมีไฟเลี้ยงก็ยังสามรถเก็บข้อมูลไว้ได้ เช่น CD-ROM Harddisk<br /><br /></strong></span><span style="font-family:verdana;"><strong><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5330219804033734498" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 224px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIPF5VFYftclx4iJYrOUABXQu0zVNX_AtsWOOSWU30Pemo5HvrphTS-aZq-fhBrh09swsOwxjvQU8djx6x4TTtPc1qABWvifcnw7WJvLzMGhOQLOZ8uUkA8vIZzdmHkgIrTvLoGmgPQDk/s320/ram-auf.jpg" border="0" />***หน่วยความจำหลัก RAM <random>RAM จะทำงานไกล้ชิดกับ CPU ตลอดเวลาทำหน้าที่ พักข้อมูล หรือคำสั่ง การประมวลผลต่างๆ คอยป้อนให้กับ CPU และต้องการไฟเลี้ยงตัวหน่วยความจำตลอดเวลา เมื่อไฟดับ หรือปิดเครื่อง ข้อมูลที่พักอยู่ในRAM จะถูกลบทิ้งไปเนื่องจากไม่มีไฟเข้าไปเลี้ยงนั่นเอง<br /></p><p>***ประเภทของ RAM โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ Static RAM<sram>และ Dynamic RAM <dram><br /> </p><p> Static RAM <sram>เป็น RAM ที่มีความเร็วในการทำงานสูงกว่า DRAM มาก นิยมนำไปทำเป็นหน่วยความจำแคช ใน CPU แต่เนื่องจากว่า Static RAM มีราคาแพง กินกระแสไฟมากจนทำให้เกิดความร้อนสูงและวงจรก็มีขนาดใหญ่ จึงไม่นำมาทำเป็น RAM<br /> </p><p> Dynamic RAM <dram>ทำจากวงจรที่ใช้การเก็บข้อมูลด้วยสถานะ มีประจุกับไม่มีประจุวิธีนี้จะใช้ไฟ น้อยกว่า SRAM มากแต่โดยธรรมชาติจะมีประจุไฟฟ้ารั่วไหลอยู่ตลอดเวลาดังนั้นเพื่อให้ DRAMเก็บประจุได้ตลอดเวลาจึงต้องมีวงจรอีกวงจรหนึ่งทำหน้าที่เติมประจุไฟฟ้าให้เป็นระยะๆซึ่งเราเรียกการเติมประจุนี้ว่า REFRESH หน่วยความจำชนิดนี้จะนำไปทำเป็นหน่วยความจำหลัก ในรูปแบบของชิปไอซี <integrated>บนแผงโมดูลของหน่วยความจำซึ่งแรมปัจจุบันนี้เป็น DRAM ทั้งหมด<br />............................................................................................................<br /> </p><p> หลังจากวิชาการมามากมายแล้ว มาดูเบสิคพื้นๆกันบ้างดีกว่าว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้วท่านผู้อ่านสามารถเป็นเทพแรมได้โดยทันที<br />แรมแต่ละชนิด ตัวแผงแรมจะมีความสั้นยาว จำนวนขา<pin> และร่องบากไม่เหมือนกัน นับตั้งแต่แรมรุ่นแรกมาถึงปัจจุบัน และSlot ของแรมก็ออกแบบมาให้ใช้ได้ของใครของมันใช้ข้ามกันไม่ได้ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ ชนิดของแรมในปัจจุบัน ดูง่ายๆด้วยจำนวนขา </p><p>1-แบบ 30 Pin<ขา><br />2-แบบ 72 Pin<ขา><br />3-แบบ 168 Pin<ขา>SDRAM<synchronous> ขอพูดถึงแรมชนิดนนี้นิดนึง คือแรมชนิดนี้เป็นแรมรุ่นคุณปู่ หาได้ตามศูนย์ราชการทั่วไปตามชนบทนะครับ มันจะมีร่องบาก 2 ร่องมี 168 ขาใช้แรงดันไฟฟ้าที่ 3.3 โวลต์และบัสสูงสุดทำได้ที่150 MHz ปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ได้หายสาบสูญไปจากกรุงเทพและปริมณฑล ไปเรียบร้อยแล้ว -_-"<br />4-แบบ 184 Pin<ขา> DDR-SDRAM เป็นแรมบรรจุภัณท์แบบ TSOP<thin>มี 184ขา ใช้แรงดันไฟฟ้าที่ 2.5 โวลต์ รองรับ DualChannel<br />5-แบบ 240 Pin DDR2-SDRAMใช่ไฟเลี้ยงที่ 1.8 โวลต์ มี 240 ขา รองรับ DualChannel<br />6-แบบ 240 Pin DDR3-SDRAMสาเหตุที่แยก 240 Pin ออกมาก็คือ DDR3-SDRAMเป็นแรมยุคต่อไปครับ DDR2 กำลังจะถูกทดแทนด้วย DDR3-SDRAMที่มีประสิทธิภาพดีกว่า ซึ่งปัจจุบันนี้ราคา DDR3-SDRAM ก็ถูกลงมามากแล้ว<br />---------------------------------------- -</p><p>มาเจาะรายละเอียดของแรมที่มีใช้กันในปัจจุบันดีกว่า<br />DDR-SDRAM <double>ในยุค SDRAM ได้แบ่งรุ่นของแรมออกตามความเร็วบัสเช่น 66 , 100 ,133 MHzในยุคSDRAM แบบ 168 Pinไม่ขอพูดถึงนะครับเนื่องจากล้าหลังมากแล้ว DDR-SDRAM 184 ขาหรือเรียกได้ว่า เป็นแรมแบบ DDR<double>รุ่นแรกที่ออกมาเปลี่ยนแปลงวงการแรมเลยก็ว่าได้เนื่องจากแรมแบบ SDRAM ธรรมดานั้นใน 1รอบสัญญาณนาฬิกาสามารถรับส่งข้อมูลได้เพียงครั้งเดียว แต่ DDR-SDRAMสามารถรับส่งข้อมูลได้ถึง 2 ครั้งในรอบสัญญาณนาฬิกาเดียวก็เหมือนชื่อแหละครับ Double Data Rate เป็นแรมที่เราๆสามารถพบเห็นได้ตามเครื่องคอมพิวเตอร์ รุ่นเก่าๆประมาณ รุ่น Pentium4 กำลังดัง ตอนนี้ก็เก่าไปแล้วแต่ก็ยังใช้งานกันแพร่หลายอยู่เนื่องจากคอมพิวเตอร์รุ่นนี้เพิ่งจะถูกทดแทนด้วย CPU2คอร์+แรม DDR2เป็นแรมที่ใช้งานได้ดีในระดับหนึ่งครับไม่ว่าจาใช้เล่นเกมส์เบาๆ อย่าง CSหรือเกมส์ ออนไลน์<แต่ต้องปรับกราฟฟิคลงให้สมดุล>แต่หากจาใช้กับเกมส์ เอนจิ้นใหม่ๆอย่าง DMC4 Crysis หรือ COD4ก็หมดสิทธิ์นะคับ ใช้ไฟเลี้ยงที่ 2.5โวลต์<br /></p><p> DDR2-SDRAMนับว่าเป็นมาตรฐานสำหรับยุคนี้ไปแล้วครับ หันไปทางไหนก็เจอแต่ DDR2ตัวชิปจะใช้บรรจุภัณท์แบบใหม่เป็นแบบ FBGA<fine-pitch> ซึ่งมีความต้านทานทางไฟฟ้าต่ำกว่าแบบ TSOPอีกทั้งยังสามารถออกแบบให้ชิป มีขนาดเล็กลงบางลง รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพอื่นๆที่ทำให้แรมDDR2เรียกได้ว่าก้าวกระโดดเลยทีเดียวเช่น การรวมเอา ODT<on-die>เข้าไปไว้บนโมดูลของหน่วยความจำเพื่อลดสัญญาณรบกวน,การขยายสัญญาณเป็น 4bit Prefetch,Additive Latency และ Enhanced Register เป็นต้นใช้ไฟเลี้ยง 1.8 โวลต์ มี 240 Pin แผงแรมมี 1 ร่องบากและรับความจุสูงสุดได้ 4GBแรมDDR2 ทั่วๆไปจะมีไห้เลือกตั้งแต่ บัส 400-1066 MHz<br /></p><p> DDR3-SDRAMเป็นแรมยุคถัดไปที่กำลังเข้ามาแทนที่ แรมแบบDDR2 ตัวบรรจุภัณท์ เป็น FBGA และมีความยาวแผงแรม จำนวนขา240 Pin เท่ากับ แรมแบบDDR2 แต่ ร่องบากจะไม่ตรงกันจึงไม่สามรถใส่ข้าม SLOT กันได้ ใช้ไฟเลี้ยงที่ 1.5โวลต์ รับแรมสูงสุดได้ที่ 4GBแต่ บัสจะสูงขึ้น ปัจจุบันมีบัสให้เลือกใช้ตั้งต่ 800-1600 MHz<br /> </p><p> ขอยกตัวอย่างแรมสักรุ่นหนึ่ง<br />Kingtons PC6400(DDR2-800) 512MB DualChannel 240Pin1.8 V. CL 4-4-4-12<br /></p><p>Kingtons -เป็นแรมยี่ห้อ KingtonsPC6400 -แบนวิดธ์ 6400 MB/S เมกกะบิทต่อวินาที</p><p>DDR2-800 -เป็นแรมDDR2 บัส 800 MHz<effective>512MB -ขนาดหน่วยความจำ 512 MB <เมกกะไบต์></p><p>DualChannel -รองรับการทำDualChannelคือใส่แรม 2แถวเพิ่มความเร็วระบบ</p><p>240Pin - จำนวนขา 240 Pin</p><p>1.8 V. -ใช้ไฟเลี้ยง 1.8 โวลต์</p><p>CL 4-4-4-12 - ค่าตัวเลข 4ตัวนี้คือค่าหน่วงเวลาของการส่งข้อมูลของแรม ในแต่ละครั้ง ยิ่งตัวเลขน้อย ยิ่งดีครับ จะทำให้แรมทำงานเร็วขึ้น<br />เซียนแรมหลายๆท่านจะดูละเอียดกว่านี้ครับเช่นดูเม็ดแรม<ชิปดำๆบนแรม>ว่ามาจากค่ายไหนผลิตวันไหน ล๊อตไหน ดูค่า CL ดูความละเอียดการประกอบ และอื่นๆอีกเพียบ ซึ่งผมก่ะดูไม่เป็น<br />บทส่งท้ายครับหากจะเลือกแรมประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือจะซื้อคอมใหม่หรือโน้ตบุคใหม่ก็ตาม แนะนำว่าเลือกแรม DDR2 667 MHz ขึ้นไปหากเมนบอร์ดรับ DDR3 ก็ซื้อยัดเข้าไปเลยครับซึ่งราคาตอนนี้ไกล้เคียงกับ DDR2มากแล้ว<br /></p><p> หลายๆท่าน อาจจะสับสนตัวย่อครับ<br />SRAM = Static Random Access Memory</p><p>DRAM = Dynamic Random Access Memory</p><p>SDRAM = Synchronous Dynamic Random Access Memory</p><p>DDR = Double Data Rate</p><p>DDR2= Double Data Rate เจเนอเรชั่นที่2</p><p>DDR2-SDRAM = Double Data Rate Synchronous Dynamic Random Access Memory<br />อย่างงกันนะครับSRAM เป็นแรมแบบ สแตติค ซึ่งใช้ทำหน่วยความจำแคชครับDRAM ใช้ทำแรมเป็นแผงๆที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักที่เราๆใช้กันอยู่ ส่วน DRAM จะแยกออกเป็นรุ่นๆต่างๆนั้นก็ดูตามรุ่นนะครับ<br /><br /></p></strong></span>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-22737738595719199162009-03-05T17:53:00.000-08:002009-03-05T18:22:02.962-08:007 วิธีกู้ข้อมูลใน Harddisk7 วิธีการกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ถ้าพูดถึงส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด<br /><br />ในเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่คุณใช้งาน คุณคิดว่ามันคือส่วนไหนครับ?<br /><br />บางคนอาจจะบอกว่าเป็นซีพียู เพราะมันคือตัวประมวลผลข้อมูลทั้งหมด<br /><br />บางคนอาจจะบอกว่ามันคือแรม หรือบางคนอาจจะบอกว่ามันคือ<br /><br />การ์ดจอแรงๆ ซักตัว แต่ผมว่า หลายคนมองข้ามส่วนประกอบที่สำคัญมาก<br /><br />ไปส่วนหนึ่ง นั่นคือ “ฮาร์ดดิสก์” ยังไงล่ะครับ ทำไมน่ะเหรอ?<br /><br />ก็เพราะว่าฮาร์ดดิสก์นั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลจนบางครั้งไม่สามารถตีค่าได้<br /><br />เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ ผมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่จานแม่เหล็กอันบอบบาง<br /><br />ที่หมุนไปหมุนมา แต่ผมกำลังหมายรวมถึงข้อมูลสำคัญๆ ของคุณที่อยู่ในนั้นด้วยนั่นเอง<br /><br />โลกของฮาร์ดดิสก์คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฮาร์ดดิสก์นั้นถือว่าเป็นสื่อบันทึกข้อมูล<br /><br />ที่จะต้องมีไว้ ประจำในทุกๆ เครื่องอยู่แล้ว เพื่อสำหรับเก็บข้อมูล<br /><br />ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ลินุกซ์<br /><br />หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ ก็ตาม รวมไปจนถึงโปรแกรมที่คุณต้องใช้ก็ต้องมีการติดตั้ง<br /><br />ลงในเครื่องด้วยเช่นกัน และส่วนที่สำคัญที่สุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย<br /><br />นอกเสียจาก “ข้อมูล” นั้นเอง ดังนั้นเมื่อดูจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า<br /><br />ฮาร์ดดิสก์นั้นเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องเลย ก็ว่าได้<br /><br />ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมันแล้วล่ะก็ อาจจะต้องนำตาตกเป็นแน่<br /><br />พื้นฐานโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เพราะเป็นส่วน<br /><br />ของจานเหล็กที่เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ทำให้มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลง<br /><br />สนามแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นผิวจานได้ และนั่นก็คือที่มาของการบันทึกข้อมูล<br /><br />โดยการเปลี่ยนแปลงสนามเหล็กให้การเป็นรูปแบบข้อมูลดิจิตอล<br /><br />(0 หรือ1, เปิด หรือ ปิด) โดยหน้าที่นี้เป็นของหัวอ่าน-เขียน ซึ่งจะลอยอยู่<br /><br />เหนือแผ่นจานแม่เหล็กเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เรียงกันอยู่<br /><br />บนจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์จึงมีปริมาณมาก มายมหาศาล<br /><br />โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากๆ ลองคิดดูซิครับว่าเราจะต้องมีจุดข้อมูล<br /><br />ที่บันทึกบนจานแม่เหล็กกี่จุด จึงจะสามารถบันทึกข้อมูลได้ในระดับร้อยกิกะไบต์<br /><br />หรืออาจจะถึงระดับเทราไบต์ และจุดเหล่านั้นจะต้องเล็กและเรียงชิดติดกันขนาดไหน<br /><br />นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์กลายเป็นชิ้นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนและบอบ<br /><br />บางที่สุดชิ้นหนึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์เลย Platter หรือจากแม่เหล็ก<br /><br />ที่ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลในฮาร์ดดิสก์<br /><br />อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก็คือ ส่วนของแผงวงจรควบ<br /><br />คุมการทำงาน ซึ่งส่วนนี้จะคอยทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อและรับ-ส่งข้อมูล<br /><br />กับคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งการควบคุมหัวอ่านเขียนให้สามารถบันทึกข้อมูล<br /><br />ได้อย่างถูกต้องด้วย โดยเจ้าแผงวงจรนี้ก็จะมีหน้าตาเป็นแผงวงจรแปะติดกับ<br /><br />ตัวฮาร์ดดิสก์มา มีชิปคอนโทรลเลอร์และแรมซึ่งทำหน้าที่เป็น Buffer ให้<br /><br />กับการส่งข้อมูลด้วย ถ้าหากแผงวงจรควบคุมนี้เกิดเสียหายขึ้นมา ก็จะทำให้<br /><br />ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถทำงานได้เช่นกันครับ<br /><br />จะเอาอะไรมากู้ข้อมูลเวลาที่เราลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว ข้อมูลต่างๆ<br /><br />ก็ควรจะต้องหายไปถูกต้องไหมครับ แล้วคุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าในเมื่อข้อมูลต่างๆ<br /><br />มันหายไปแล้ว แล้วมันถูกกู้คืนกลับมาได้อย่างไร ความจริงแล้วคอมพิวเตอร์นั้นแอบ<br /><br />ขี้โกงเราอยู่เหมือนกันครับ เนื่องจากสื่อบันทึกข้อมูลอย่างฮาร์ดดิสก์เองก็จะทำงาน<br /><br />หรือเก็บบันทึกข้อมูล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กบนจานเพื่อบันทึกค่า<br /><br />ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเขียน-อ่านอยู่พอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการลบข้อมูล<br /><br />ข้อมูลต่างๆ จึงไม่ได้ถูกลบไปจริงๆ แต่จะถูกมาร์กเอาไว้ในระบบไฟล์ว่าข้อมูล<br /><br />ในส่วนนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว ทั้งที่จริงแล้วข้อมูลก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมันอยู่<br /><br />นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราสร้างไฟล์ 1กิกะไบต์ จึงช้ามาก<br /><br />ในขณะที่ลบไฟล์ 1กิกะไบต์ นั้นเร็วจนแทบมองไม่ทันกันเลยทีเดียว<br /><br />ดังนั้นแล้วข้อมูลต่างๆ ของเราก็อาจจะยังคงอยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้<br /><br />นั่นหมายความว่าเรายังพอมีสิทธิที่จะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดไว้ให้กลับคืนมา<br /><br />ดังเดิมได้อยู่ และนี่คือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คุณได้ข้อมูลสำคัญๆ คืนมา<br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5309892535665967522" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 374px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8NyyJmJGIRL6MXST2CdKMxX53TY9gR4sfefzImbPQzGszxjS8aOl8nuA-ckNxB-30jMYbX4Rec0PeWamdcy6Si3-nOySIuxhjT97GhkG_Ly1Q7pOTGw4j_qorcGQInev0iDyRkDHkLTY/s400/HDD+WD.jpg" border="0" /><br /><br />1.กู้ไฟล์ที่เผลอลบไปเคยเป็นไหมครับเวลาที่เราทำงานอยู่แล้วรีบๆ บางครั้ง<br /><br />เราก็อาจจะเผลอกดลบไฟล์งานเอกสารสำคัญๆ ของเราไปด้วย ซึ่งคุณอาจจะบอกว่า<br /><br />ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อสั่งลบไปแล้ว มันก็จะไปอยู่ในถังขยะหรือว่าเจ้า Recycle Bin แทน<br /><br />จริงอยู่ครับว่าไฟล์ที่ถูกลบไป มันจะถูกย้ายไปไว้ในถังขยะ แต่สำหรับคน<br /><br />ที่ต้องการทำงานแบบรวดเร็วจนติดเป็นนิสัย ก็เลยลบข้อมูลอย่างรวดเร็ว<br /><br />(Shift+Del) งานนี้ข้อมูลของคุณไม่ได้อยู่ในขยะแน่นอนครับ นอกจากนี้<br /><br />กรณีที่คุณเผลอลบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ถังขยะจะสามารถรับ<br /><br />ได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไฟล์ของคุณจะได้รับสิทธิในการลบข้อมูลไปเลยโดย<br /><br />ไม่ต้องผ่านถังขยะด้วยเช่นกัน<br /><br />ขนาดถังของ Recycle Bin ที่คุณกำหนดไว้อาจจะไม่ใหญ่เพียงพอ<br /><br />ทำให้ไฟล์ถูกลบไปเลยก็ได้<br /><br />คราวนี้จะทำยังไงดีล่ะครับ ในเมื่อไฟล์ที่เราลบไปไม่ได้อยู่ในถังขยะอีกแล้ว<br /><br />ใจเย็นๆ ครับ เหตุการณ์มันยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น อย่างที่เราบอกไว้ครับ<br /><br />ว่าข้อมูลของคุณจริงๆ นั้นยังไม่ได้ถูกลบไปไหน แต่ยังคงถูกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์อยู่<br /><br />ซึ่งในตอนนี้ผมขอพูดถึงการกู้ในลักษณะนั้นไว้ภายหลังเนื่องจากเป็นกระบวนการ<br /><br />ที่ค่อนข้างเสียเวลานานครับ ในเมื่อเรารู้ว่าเราเพิ่งจะลบไฟล์ไปเมื่อตะกี้นี้เอง<br /><br />ดังนั้นวิธีการกู้ที่ง่ายที่สุดก็ต้องเป็นโปรแกรมประเภท Undeleted<br /><br />ทั้งหลายที่พอจะช่วยคุณได้ แต่ข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็คือคุณจะต้อง<br /><br />ติดตั้งโปรแกรมก่อนที่คุณจะลบ ไฟล์นะครับ<br /><br />หลักการทำงานของโปรแกรมประเภทนี้อยู่ที่การคอยสอดส่องว่าคุณมีการทำงานกับ<br /><br />ไฟล์อะไรบ้าง มีการลบไฟล์อะไรไปบ้าง แล้วมันจึงแอบเก็บข้อมูลของไฟล์<br /><br />ที่คุณลบเอาไว้เอง จะว่าไปมันก็เหมือนกับเป็นการทำหน้าที่ Recycle Bin<br /><br />อย่างลับๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งคราวนี้เราก็จะสามารถกู้คืนไฟล์ที่เราเพิ่งลบไป<br /><br />ให้กับมาอยู่ในอ้อมอกของ เราได้เหมือนเดิมครับข้อจำกัดของรูปแบบ<br /><br />การกู้คืนข้อมูลแบบนี้ก็คือโปรแกรมที่ใช้สำหรับการ Undeleted นี้จะต้องติดตั้ง<br /><br />โปรแกรมลงไปก่อน เพื่อที่จะจะได้ให้มันคอยตรวจสอบไฟล์ที่เราเพิ่งสั่งลบไป<br /><br />และคอยเก็บข้อมูลสำรองเอาไว้ให้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว<br /><br />คุณก็จะต้องยอมเสียพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของ<br /><br />ไฟล์ บางโปรแกรมกินพื้นที่เยอะ เพราะใช้วิธีการแบ็กอัพไฟล์เอาไว้เลย<br /><br />หรือบางโปรแกรมอาจจะใช้วิธีการเก็บ Log การลบไฟล์เอาไว้ แล้วสั่งถอดมาร์ก<br /><br />ที่ระบบปฏิบัติการได้ทำไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นไฟล์ที่ถูกลบ ออกไปก็จะกินพื้นที่น้อยกว่า<br /><br />แต่มันก็จะคล้ายๆ กับการกู้ข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่เรากำลังจะพูดในส่วนต่อๆ ไปอยู่ดี<br /><br /><br /><br />-----2.ฟอร์แมตไดรฟ์ไป จะกู้กลับมาได้ไหมสำหรับผู้ที่ชอบลงโปรแกรมเอง<br /><br />หรือติดตั้งระบบปฏิบัติการเอง (อย่างผมเป็นต้น) และมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ<br /><br />ไว้หลายๆ ตัว (มีหลายไดรฟ์) คงจะมีบ้างที่เกิดฟอร์แมตผิดไดรฟ์<br /><br />หรือถ้าจะให้ดูใกล้ตัวกว่านั้นอาจจะเป็นกรณีที่ว่าคุณต้องการฟอร์ แมต<br /><br />ลงวินโดวส์ใหม่อยู่แล้ว หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ล้างเครื่อง” หลังจากสั่งฟอร์แมต<br /><br />และเตรียมตัวจะลงระบบปฏิบัติใหม่นั้นนึกขึ้นมาได้ว่ายัง มีไฟล์งานสำคัญ<br /><br />ที่ยังไม่ได้แบ็คอัปอยู่ งานนี้จะทำยังไงล่ะเนี่ยะ ฟอร์แมตก็ทำไปแล้ว<br /><br />แถมโปรแกรม Undeleted ก็ช่วยไม่ได้อีกต่างหาก<br /><br />ฮาร์ดดิสก์ที่มีพาร์ทิชันหลายอัน บางครั้งคุณอาจจะเลือก Format ผิดไดรฟ์บ้าง<br /><br />ก็เป็นได้<br /><br />โปรแกรม GetDataBack ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับการกู้ข้อมูล<br /><br />โดยการสแกนฮาร์ดดิสก์ในทุกๆ ตารางนิ้วงานนี้มีอะไรที่พอจะช่วยคืนชีพ<br /><br />ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกฟอร์แมตไปแล้วได้หรือไม่ คำตอบก็คือมีครับ<br /><br />เพราะอย่างที่เราบอกไว้ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เราสั่งลบไปนั้นไม่ได้มีการถูกลบไปจริงๆ<br /><br />เพียงแต่จะเป็นการมาร์กเอาไว้ว่าข้อมูลนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว การฟอร์แมตก็คล้ายๆ กัน<br /><br />โดยเฉพาะการฟอร์แมตแบบรวดเร็ว (Quick Format) ด้วยแล้ว มันก็เหมือนกับการลบ<br /><br />ไฟล์ทุกไฟล์ออกไปจากไดรฟ์นั้นเองครับ ในขณะที่การฟอร์แมตแบบเต็ม (Full Format)<br /><br />ดูจะเป็นอะไรที่สาหัสกว่า แต่ก็สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้อยู่ดี เพราะข้อมูลที่ถูกสั่งลบนั้น<br /><br />ผ่านการลบแบบลวกๆ จึงยังทำให้เห็นเค้าโครงของข้อมูลเดิมอยู่โปรแกรมที่<br /><br />ใช้ในการกู้ข้อมูลในลักษณะนี้ก็มีอยู่หลายตัวทีเดียวอย่างเช่น GetDataBack<br /><br />ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งเลยทีเดียว งานนี้มันจะคอย<br /><br />สแกนหาข้อมูลต่างๆในฮาร์ดดิสก์ของคุณทั้งหมด โดยไม่สนข้อมูลจากระบบไฟล์<br /><br />ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นข้อมูลที่ระบบปฏิบัติการมองไม่เห็นหรือก็คือข้อมูล<br /><br />ที่ถูกลบไปแล้วนั่นเองครับข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็มีอยู่เหมือนกันครับ<br /><br />เพราะใช่ว่ามันจะสามารถกู้ได้ทุกอย่างที่ขว้างหน้านะครับอย่างแรกเลยก็คือ<br /><br />มันไม่สามารถกู้ข้อมูลที่ถูกเขียนทับไปแล้วได้ เนื่องจากมันอาศัยการกู้จากเศษข้อมูล<br /><br />ที่หลงเหลืออยู่ในดิสก์<br /><br />ดังนั้นถ้าหากว่ามีการเขียนข้อมูลทับในจุดที่มีข้อมูลไปแล้ว ข้อมูลส่วนนั้นๆ<br /><br />ก็จะไม่สามารถกู้คืนได้นะครับ อย่างเช่นหลังจากฟอร์แมตไปแล้วอาจจะสามารถ<br /><br />กู้คืนได้ครบทั้งหมด แต่ถ้าติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ทับลงไปแล้วก็อาจจะทำให้<br /><br />ข้อมูลบางส่วนไม่ สามารถกู้คืนมาได้อีกกรณีหนึ่งที่ไม่สามารถกู้คืนได้<br /><br />ก็คือกรณีของการ Low Level Format ซึ่งถือว่าเป็นการฟอร์แมตที่ล้างข้อมูลได้<br /><br />อย่างสะอาดที่สุด เพราะจะมีการจัดรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กใหม่<br /><br />โดยใช้หลักการเขียนข้อมูลที่เป็น 1 และตามด้วย 0 ไปลงในทุกๆ Sector ข้อมูล<br /><br />ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า หรือพูดง่ายๆ<br /><br />ก็คือถูกเขียนทับด้วยข้อมูลเปล่าทั้งหมดนั้นเอง ดังนั้นถ้า Low Level Format<br /><br />ไปแล้วก็หมดสิทธิครับ แต่ถึงอย่างไรคุณก็คงจะไม่ได้ทำ Low Level Format<br /><br />บ่อยอยู่แล้วจริงไหมครับ<br /><br /><br /><br />-----3.กู้พาร์ทิชันที่เสียหายความแน่นอนคือความไม่แน่นอนครับ บางวันคุณอาจจะตื่นขึ้นมา<br /><br />จากฝันร้าย มาเจอฝันร้ายกว่า เพราะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วบูตไม่ขึ้น<br /><br />รวมถึงยังไม่สามาถเข้าไปเอาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อีกด้วย<br /><br />ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นไปได้ทั้งจากฮาร์ดแวร์ (ฮาร์ดดิสก์เสียไปเลย)<br /><br />หรืออาจจะเป็นจากซอฟต์แวร์ซึ่งก็คือเป็นเพียงแค่โครงสร้างข้อมูลของไดรฟ์<br /><br />หรือพาร์ทิชันเสียหาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเสียด้วยส่วนใหญ่ปัญหา<br /><br />ที่เป็นสาเหตุทำให้พาร์ทิชันสำหรับเก็บข้อมูลของคุณเกิดปัญหา ขึ้นก็คือ<br /><br />การเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบไฟล์ ซึ่งเจ้าระบบไฟล์นี้จะเป็น<br /><br />โครงสร้างข้อมูลที่ชี้ไปยังตำแหน่งของข้อมูลจริงๆ ที่อยู่บนไดรฟ์<br /><br />คงพอนึกออกใช่ไหมครับว่าถ้าเกิดความเสียหายที่ตัวข้อมูล มันก็อาจจะทำให้<br /><br />ข้อมูลหายเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดความเสียหายที่ระบบไฟล์ ข้อมูลทั้งหมด<br /><br />ภายในไดรฟ์ก็จะได้รับผลกระทบไปหมดเลยเครื่องมือที่จะมาช่วยคุณ<br /><br />ในการแก้ไขปัญหานี้ก็จะเป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ใช้ ในการจัดการ<br /><br />กับพาร์ทิชันอย่างเช่น Partition Magic ซึ่งนอกจากความสามารถ<br /><br />ในการสร้าง ลบ ย่อ ขยาย ขนาดของพาร์ทิชันแล้ว มันก็ยังสามารถจะซ่อมแซม<br /><br />โครงสร้างของพาร์ทิชันหรือระบบไฟล์ให้กับคุณได้อีก ด้วย<br /><br />โปรแกรม Partition Magic โปรแกรมโปรคู่มือนักกู้ข้อมูลมืออาชีพ<br /><br />โปรแกรม Active partition recovery เครื่องมือดีๆ ที่ใช้กู้พาร์ทิชันทั้งอันได้<br /><br />นอกจากนี้ยังมีกรณีของการลบพาร์ทิชันผิด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่า<br /><br />แบ่งพาร์ทิชันไว้จำนวนมากแล้วเกิดความสับสนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อ<br /><br />ไดรฟ์มันเปลี่ยนไปในแต่ละระบบปฏิบัติการ ก็ส่งผลให้ข้อมูลในนั้นหายไปหมดด้วยเช่นกัน<br /><br />ซึ่งในรูปแบบเช่นนี้ก็มีโปรแกรมที่สามารถกู้คืนพาร์ทิชันที่ถูกลบไปได้อยู่<br /><br />เหมือนกัน เช่น Active Partition Recovery ซึ่งมันจะสแกนดูว่า<br /><br />เราเคยมีการสร้างพาร์ทิชันอะไรไว้ จากนั้นมันก็จะกู้คืนสถานะของพาร์ทิชัน<br /><br />ระบบไฟล์ และไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เคยอยู่ในพาร์ทิชันให้กลับคืนมาเหมือนเดิมครับ<br /><br />เช่นเดียวกับการกู้ข้อมูลที่ได้กล่าวมาก่อนแล้ว นั่นก็คือการกู้จะสำเร็จได้<br /><br />ก็ต่อเมื่อพื้นที่ข้อมูลนั้นๆ ยังไม่ได้ถูกเขียนทับด้วยข้อมูลใหม่ครับ<br /><br />ดังนั้นการกู้คืนพาร์ทิชันนั้นก็ยังสามารถทำได้<br /><br />ถ้าคุณยังไม่ได้สร้างพาร์ทิชันใหม่ขึ้นมาทับ หรืออาจจะมีการสร้างพาร์ทิชันใหม่ได้<br /><br />แต่ต้องมีขนาดเท่าเดิมครับ ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากเท่าไหร่<br /><br />โอกาสก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้นครับ อย่างเช่นสร้างพาร์ทชันใหม่<br /><br />ขนาดน้อยลงกว่าเดิม แล้วฟอร์แมตด้วยระบบไฟล์ที่แตกต่างไปจากเดิม<br /><br />แล้วลงระบบปฏิบัติการไปแล้วด้วย แบบนี้อาจจะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้แล้วล่ะครับ<br /><br />ต้องทำใจอย่างเดียว<br /><br /><br /><br />------4.กู้ฮาร์ดดิสก์ที่เป็น Bad Sectorเมื่อพูดถึง Bad Sector แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้หลายๆ คน<br /><br />เกลียดมันที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันกำลังจะทำให้ข้อมูลของคุณเสียหายได้ในไม่ช้า<br /><br />อย่างที่เราได้พูดถึงการทำงานของฮาร์ดดิสก์กันมาข้างต้นแล้ว<br /><br />จะเห็นว่าฮาร์ดดิสก์เป็นส่วนประกอบที่มีความบอบบางมากทีเดียว<br /><br />โดยเฉพาะส่วนของจานแม่เหล็กและหัวอ่าน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว<br /><br />เรียกได้ว่าเส้นผมคนเรายังลอดผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว ดังนั้นหัวอ่าน<br /><br />ก็อาจจะมีกระทบกับจานแม่เหล็กอยู่เหมือนกันในกรณีที่เกิดแรง<br /><br />สั่นสะเทือนมากๆ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกแรงกระแทก นอกจากนี้การที่สารฉาบเคลือบผิวของ<br /><br />จานแม่เหล็กนั้นเสื่อมสภาพ หรือสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้นๆ<br /><br />ไม่สามารถบันทึกข้อมูล สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิด Bad Sector ขึ้นมาได้<br /><br />ตามปกติเมื่อข้อมูลของเราโชคร้าย ไปอยู่ในส่วนที่เป็น Bad Sector พอดิบพอดี<br /><br />ก็จะทำให้ข้อมูลส่วนนั้นๆ ไม่สามารถอ่านได้เลย เนื่องจากฮาร์ดดิสก์จะพยายาม<br /><br />เข้าไปอ่านส่วนที่เป็น Bad Sector นั้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะสามารถทำได้<br /><br />ในการกู้ข้อมูลกลับคืนมาก็คือการใช้โปรแกรม ช่วยอย่างเช่น<br /><br />โปรแกรมสำหรับการสแกนดิสก์ ที่สามารถรองรับการทำ Surface Test ด้วย<br /><br />เพื่อที่มันจะได้มองหาโปรแกรม Bad Sector ได้ และโปรแกรมเหล่านี้<br /><br />ก็ยังสามารถที่จะกู้ข้อมูลที่อยู่ที่ Bad Sector ขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย<br /><br />แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงด้วยเหมือนกันว่าไฟล์ที่กู้ขึ้นมานั้นเป็นไฟล์อะไร<br /><br />และจะต้องยอมรับด้วยไฟล์ที่กู้คืนมาได้คงจะไม่ได้มีความสมบูรณ์ 100% นะครับ<br /><br />พร้อมกันนี้โปรแกรมที่ว่านี้ยังช่วยมาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์<br /><br />มีการเขียนข้อมูลลงไปที่ Bad Sector อีก<br /><br />โปรแกรมสำหรับทำ Low level Format มีหลายตัว แต่ที่เหมาะคือ “ของผู้ผลิตเอง”<br /><br />คุณสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ได้จากเว็บของผู้ผลิตเอง<br /><br />แม้ว่าเราจะสามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่ใน Bad Sector ขึ้นมาได้แล้ว และ<br /><br />ได้มาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีข้อมูลผู้โชคร้าย<br /><br />ถูกเขียนลงไปอีก แต่ความน่ากลัวของมันก็ยังไม่หมด เนื่องจาก Bad Sector<br /><br />อาจจะมีอาการลุกลามเพิ่มขึ้นได้อีกจากจุดเดิม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย<br /><br />เราจึงควรจะต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุดูเสียก่อน โดยสิ่งที่เราพอที่จะสามารถ<br /><br />แก้ไขปัญหา Bad Sector ได้ด้วยตัวเองก็คือการทำ Low Level Format ครับ<br /><br />โดยการทำ Low Level Format นี้สามารถทำได้ผ่านทางซอฟต์แวร์พิเศษ<br /><br />จากทางผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่คุณใช้ งานอยู่ โดยสามารถไปหาดาวน์โหลดได้<br /><br />ตามเว็บไซต์แต่ละยี่ห้อได้เลยครับ<br /><br />สำหรับการทำ Low Level Format นั้นสิ่งหนึ่งที่ควรจะระมัดระวังก็คือ<br /><br />มันเป็นการจัดโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์ ในระดับของคลื่นแม่เหล็กเลย<br /><br />ไม่ได้แค่การลบข้อมูลเหมือนกับการ Format ทั่วไป ที่สำคัญ<br /><br />มันใช้เวลาในการทำงานนานมากๆ ด้วยโดยเฉพาะกับไดรฟ์ที่มีขนาดใหญ่อย่างไ<br /><br />ดรฟ์ในปัจจุบันที่มีขนาด 200-500GB ด้วยแล้ว แทบจะต้องรอกันหลายชั่วโมงทีเดียว<br /><br />และในระหว่างที่มันทำ Low Level Format อยู่นั้น ก็ไม่ควรมีการยกเลิกการทำงาน<br /><br />ไปก่อนที่มันจะทำงานเสร็จ หรือห้ามปิดคอมพิวเตอร์โดยทันที<br /><br />รวมถึงกรณีที่ไฟดับด้วยครับ ไม่งั้นมันอาจจะเป็น Bad Sector<br /><br />ไปอย่างถาวรเลยก็ได้<br /><br /><br /><br />------5.กู้ฮาร์ดดิสก์แบบ USBเดี๋ยวนี้สื่อบันทึกข้อมูลแบบที่เรียกว่า External Harddisk<br /><br />กำลังเป็นที่นิยมมากเลยนะครับ เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาลต่อวัน<br /><br />ที่ผู้คนต้องพกพากันในวันนี้ไม่ ใช่มีแค่เพลง MP3 ขนาดแค่กิกะไบต์กันแล้ว<br /><br />แต่อาจจะมีไฟล์วิดีโอหรือข้อมูลอื่นๆ ในระดับหลายๆ กิกะไบต์เลยก็ได้<br /><br />ดังนั้นสื่อบันทึกข้อมูลอย่าง Flash Drive อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน<br /><br />ของผู้ใช้บางคน ดังนั้น External Harddisk แบบ USB จึงเข้ามาเติมเต็ม<br /><br />ความต้องการให้ แต่ถ้าเกิดข้อมูลสูญหายขึ้นมาจะทำอย่างไรได้บ้าง<br /><br />จริงๆ แล้วฮาร์ดดิสก์แบบ External ที่เรารู้จักกันมันก็เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ที่ใส่อยู่<br /><br />ในเครื่องนั่นแหละครับ โดยถ้าเป็นแบบพกพาที่ไม่ต้องใช้ไฟจากอะแดปเตอร์<br /><br />ก็จะเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้วเหมือนกับของโน้ตบุ๊ก ดังนั้น<br /><br />เมื่อคุณเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เหล่านี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว<br /><br />มันก็จะมองเหมือนเป็นเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ธรรมดาตัวหนึ่งเลยการ<br /><br />กู้ข้อมูลของ External Harddisk นั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก<br /><br />การกู้ข้อมูลภายในเครือซักเท่าไหร่ แต่อาจจะแบ่งกรณีความเสียหาย<br /><br />ได้ 2 กรณีคือ 1 เสียที่ตัวฮาร์ดดิสก์เอง ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับที่กล่าวมาข้างต้นว่า<br /><br />คุณสามารถกู้ข้อมูลคืนได้ตั้งแต่การสแกนหาข้อมูลที่ ถูกลบไปจนไปถึงการแก้ไข<br /><br />Bad Sector ที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ กับอีกส่วนหนึ่งก็คือความเสียหายที่เกิดขึ้น<br /><br />กับตัวกล่องที่ใส่ฮาร์ดดิสก์<br /><br />ซึ่งกล่องตัวนี้มีความสำคัญคือช่วยแปลงการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์<br /><br />ทีเป็น IDE หรือ SATA มาเป็นแบบ USB หรือ Firewire นั่นเอง<br /><br />ดังนั้นถ้ามันเกิดเสียหายขึ้นมาก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถใช้งานได้<br /><br />สำหรับในกรณีที่ตัวกล่องเสียนั้น เราต้องดูก่อนว่าฮาร์ดดิสก์พกพาของคุณนั้น<br /><br />สามารถที่จะแกะกล่องเพื่อเอา ฮาร์ดดิสก์ออกมาได้หรือเปล่า<br /><br />ซึ่งถ้าคุณซื้อตามร้านประกอบคอมพิวเตอร์ก็อาจจะเป็นแบบที่ถอดได้<br /><br />ในขณะที่ถ้าคุณซื้อเป็นแบบมียี่ห้ออย่างเช่น Seagate FreeAgent<br /><br />หรือของยี่ห้ออื่นๆ แล้วก็อาจจะไม่สามารถแกะได้ อันนี้ก็ต้องส่งเคลม<br /><br />กับศูนย์บริการอย่างเดียวเลยครับ แต่สำหรับแบบที่สามารถแกะได้นั้น<br /><br />ก็เพียงแค่แกะฮาร์ดดิสก์ออกมาแล้วเชื่อมต่อ กับเครื่องคอมพิวเตอร์<br /><br />ก็สามารถจะสั่งกู้ข้อมูลหรือก๊อปปี้ข้อมูลออกมาเก็บ ไว้ได้แล้วล่ะครับ<br /><br /><br /><br />------6.ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กเสีย จะกู้ได้อย่างไรถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของเครื่องพีซีเสีย<br /><br />การแก้ไขก็คงจะไม่ลำบากมากนั้น เพราะคุณสามารถเปิดเครื่องออกมา<br /><br />เอาฮาร์ดดิสก์ไปปลั๊กกับเครื่องอื่นเพื่อกู้ ข้อมูลได้ ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์โน้ตบู๊คนั้น<br /><br />จะมีความยุ่งยากมากกว่า เพราะนอกจากคุณจะแกะฮาร์ดดิสก์ออกมาได้<br /><br />อย่างยากลำบากแล้ว ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กยังไม่เหมือนกับฮาร์ดดิสก์<br /><br />บนเครื่องพีซีอีกด้วย นอกจากมีขนาดที่เล็กกว่าแล้ว ยังมีพอร์ตสำหรับ<br /><br />ต่อสายที่ไม่เหมือนกันด้วย (ยกเว้นฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ที่เหมือนกันและ<br /><br />สามารถใช้งานร่วมกันได้) ดังนั้นคุณจึงต้องหาสายสำหรับแปลงสัญญาณ<br /><br />จากฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กมาเป็น IDE สำหรับเครื่องพีซี หรืออาจจะแปลง<br /><br />ไปเป็น USB เลยก็ได้เช่นเดียวกัน<br /><br />ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กกับเดสก์ท็อป มีความแตกต่างกันทั้ง<br /><br />ขนาดและพอร์ตการเชื่อมต่อสายแปลงฮาร์ดดิสก์ IDE<br /><br />เป็น USB ซึ่งสามารถใช้ได้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5” และ 3.5”<br /><br />แม้ว่าหัว IDE ของฮาร์ดิสก์โน้ตบุ๊กจะคล้ายกับเดสก์ทอป<br /><br />แต่ว่าก็ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะหัวมีขนาดเล็กว่า<br /><br />อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มี External Harddisk อยู่แล้ว<br /><br />และเป็นแบบกล่องที่สามารถแกะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ภายในได้<br /><br />ก็คือการถอดฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กออกมาแล้วเอาฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กที่เสียใส่<br /><br />กลับเข้าไปแทน ด้วยวิธีการนี้ก็จะเป็นเหมือนกับการกู้ข้อมูล<br /><br />จาก External Harddisk อย่างที่เราได้เคยพูดไป<br /><br />ในหัวข้อก่อนหน้ายังไงล่ะครับ<br /><br /><br /><br />-----7.จะกู้อย่างไรในเมื่อฮาร์ดดิสก์ Detect ไม่เจอข้อผ่านๆ มาทั้งหลาย<br /><br />เป็นการกู้ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลง<br /><br />อินเทอร์เฟซด้วยอะแดปเตอร์เล็กน้อยซึ่งหมายความ ว่าสภาพฮาร์ดดิสก์<br /><br />ยังทำงานได้ดีอยู่ แต่สำหรับหัวข้อสุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงกรณีที่<br /><br />ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้เลย หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ<br /><br />คอมพิวเตอร์มองไม่เห็นว่ามีฮาร์ดดิสก์ต่ออยู่ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เลย<br /><br />แบบนี้ก็แย่นะซิครับ เพราะโปรแกรมอะไรก็คงไม่สามารถจะกู้ข้อมูล<br /><br />ในฮาร์ดดิสก์กลับมาได้เลย<br /><br />สาเหตุของการที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้นั้นมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน<br /><br />แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเกิดจากแผงวงจรควบคุมที่อยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์นั้นแหละ ครับ<br /><br />เพราะมันรับผิดชอบในการติดต่อและรับ-ส่งข้อมูลกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว<br /><br />ดังนั้นถ้าแผงวงจรเสีย ก็แปลว่าคุณก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่<br /><br />ในจานแม่เหล็กได้อีกเลย ทางเดียวที่สามารถแก้ไขได้ก็คือทำให้แผงวงจร<br /><br />กลับมาทำงานได้ดังเดิม ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน<br /><br />ก็จะกลับมาสู่อ้อมอกคุณอีกครั้ง<br /><br />การจะซ่อมแผงวงจรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่ เพราะว่ามันละเอียดอ่อน<br /><br />เกินกว่าจะไปซ่อมเองได้ ทางที่ได้ผลมากกว่าก็คือ “การเปลี่ยน” ครับ<br /><br />ใช่แล้วครับ เราสามารถเปลี่ยนแผงวงจรควบคุมของฮาร์ดดิกส์ได้<br /><br />เพียงแต่เงื่อนไขการเปลี่ยนก็คือ คุณจะต้องหาฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดเท่ากัน<br /><br />ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน หรืออาจจะพูดว่าควรจะต้องเหมือนกัน<br /><br />ทุกประการเลยก็ว่าได้ เพื่อให้แผงวงจร สามารถทำงานทดแทนตัวที่เสียไป<br /><br />ได้อย่างสมบูรณ์ หลังกจากนั้นเราก็สามารถจะไขน็อต<br /><br />เพื่อถอดเปลี่ยนแผงวงจรได้เลย โดยมันจะมีสายไฟที่ต่ออยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์<br /><br />ซึ่งเป็นพอร์ตที่ถอดออกมาได้อยู่ และเป็นสายที่ค่อนข้างบางต้องใช้<br /><br />ความระมัดระวังเล็กน้อย เพียงเท่านี้ถ้าโชคเข้าข้างคุณ ก็จะสามารถใช้งาน<br /><br />ฮาร์ดดิสก์และดึงข้อมูลออกมาได้เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ยังอยู่ ในสภาพดีอยู่<br /><br />เหมือนเดิมแล้วล่ะครับสรุป Backup ไว้<br /><br />ไม่ต้องรอวัวหายสุภาษิต “วัวหาย ล้อมคอก” ยังคงใช้ได้อยู่<br /><br />จนถึงปัจจุบันนะครับ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะสามารถกู้ข้อมูลต่างๆ<br /><br />จากฮาร์ดดิสก์ได้มากเพียงใด แต่จะเห็นได้ว่ามันก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง<br /><br />เช่นถ้าหามีการก๊อปปี้ข้อมูลทับลงไปในฮาร์ดดิสก์แล้ว<br /><br />ก็จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้อีก หรืออย่างในกรณีที่ต้องมีการเปลี่ยน<br /><br />แผงวงจรฮาร์ดดิสก์ โอกาสที่จะหาฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกันเจอนั้น<br /><br />ก็คงจะมีไม่มากอย่างที่คุณคิด หรอกครับ โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าๆ<br /><br />ดังนั้นการป้องกันข้อมูลที่สามารถรับประกันผลได้ดีที่สุดก็คือการแบ้กอัพ<br /><br />นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการแบ็กอัพไปยังฮาร์ดดิสก์อีกลูกหนึ่ง การไรท์ข้อมูล<br /><br />ที่มีอยู่ใส่ลงในแผ่นซีดีหรือดีวีดี (หลายๆ ชุดเพื่อความปลอดภัย)<br /><br />โดยเฉพาะกับข้อมูลที่ไม่ค่อยได้มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ แล้ว ย่อมเป็นทางเลือกทีดีที่สุด<br /><br /><br />ข้อมูลอ้างอิงจาก ผู้เขียน: krootuuy2009ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-23665764645892651672009-03-02T19:55:00.000-08:002009-03-02T20:08:36.600-08:00เทคโนโลยี 64 บิท VS 32 บิทสวัสดีครับ.. บทความคราวนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สิ่งที่ผู้ใช้หลายๆคน กังขาอยู่เลยนะครับว่า CPU<br />หรือเรียกภาษาไทยกันคุ้นๆ ว่าโปรเซสเซอร์ ที่มีเทคโนโลยี 2 เทคโนโลยีในปัจจุบันคือ 64bit และ<br />32bit นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วเราควรจะใช้งานตัวไหนดี<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308806437802268306" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 396px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLuarjfkUp3xGHnI5QM-mWXaJ-TXwb6g_VDA26dfffY63s8KYJW183QU2OCuxXHVs4fQChSL0Y2FjjFDqQ6EtIRXrj4osdHuazPgvS1EIBHauEEkAaSsFoNzVivOEZ1lOMrpgNdYkBfFY/s400/64bit-windows.jpg" border="0" /><br />ก่อนอื่น ผมก็ต้องขออธิบายก่อนนะครับ เทคโนโลยี 64bit นี้นั้นมีมานานแล้ว ในคอมพิวเตอร์ระดับสูง<br />พวกที่ใช้งาน Databaseที่ทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก หรืองานการคำนวนทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน<br />จนกระทั้ง AMD ได้นำเทคโนโลยีนี้ลงมาใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป<br />ถือเป็นการเริ่มต้น เทคโนโลยี 64bit สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และทาง Intel ก็ได้ตามมาทีหลัง<br />และเทคโนโลยีนี้ก็อยู่บน เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลากว่า 1 ปีจนในที่สุดก็มาลงในโนตบุค<br />ซึ่งก็คือ AMD อีกเช่นกันที่เป็นคนเริ่ม ในชื่อของ AMD turion64 เอาเป็นว่าว่า CPU<br />ของโนตบุคในตลาดปัจจุบันนั้น มีตัวไหนบ้างที่ เป็น 64bit และตัวไหนบ้างที่เป็น 32bit ดังนี้<br /><br />32 bit<br /><br />Intel Celeron M<br />Intel Pentium M<br />Intel Core Solo<br />Intel Core Duo<br />AMD Mobile sempron<br /><br /><br />64 bit<br /><br />Intel Core 2 Duo<br />AMD Turion64<br />AMD Turion64x2<br />AMD Mobile Athlon 64<br /><br /><br />โดย CPU ของทั้ง 2 ค่ายที่เป็น 64bit นี้ AMD จะใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า x86-64<br />ส่วน Intel จะใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า EM64T โดยชื่อเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ผ่าน<br />โปรแกรม cpu-z ในหัวข้อ CPU ตรงช่อง instruction ครับ ซึ่งเทคโนโลยี 2 ตัวนี้<br />จะแตกต่างกันภายในเล็กน้อยแต่ว่า โดยตัวคอนเซปแล้วจะเหมือนกันนะครับ<br /><br />แล้วอะไรคือ 64bit? -- คำตอบอันนี้จะเป็นในส่วนของทางด้านเทคนิคนิดนะครับ คือ CPU ปกติ<br />จะมีความจำของตนเองไว้ใช้งานภายในขนาดหนึ่ง ซึ่งหน้าที่ของความจำนี้ก็คืออ้างอิงถึงคำสั่งที่จะใช้งาน<br />และอ้างอิงถึงข้อมูลที่จะมาใช้คำสั่งนั้น<br /><br />โดยถ้าเป็น 32bit นั้นการอ้างถึงความจำแต่ละครั้งนั้น จะได้ข้อมูล<br />กลับมา 32bit (1 bit มีค่าได้ 2 รูปแบบคือ 1 ,0 เท่านั้น) แต่ถ้าเป็น 64bit<br />ก็จะได้ข้อมูลกลับมา 64bit ถ้าเรามาคำนวนดูว่า 64bit นั้นมีค่ามากกว่า 32bit ขนาดไหนก็คือ<br /><br />32bit มีค่าประมาณ 4,000,000,000.-<br />64bit มีค่าประมาณ 18,000,000,000,000,000,000.-<br /><br />จะเห็นว่า 64bit นั้นน้อยกว่า 32bit แบบเทียบกันไม่ได้ซึ่งด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้ CPU ประเภท 64bit นั้น<br />จะมีความสามารถสูงกว่า CPU 32bit เป็นอย่างมาก(โดยความสามารถนี้ไม่ได้แสดงออกมา<br />ทางด้านความเร็วอย่างเดียว แต่ว่าออกมาทางด้านปริมาณหน่วยความจำ<br />ความง่ายในการเขียนโปรแกรม และCPU สามารถทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นด้วย) แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นความแตกต่างอันนี้<br />ในปัจจุบันนั้นก็เพราะว่า CPU ที่เป็น 64 บิตนั้นจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพที่มีอยู่ก็ต่อเมื่อ<br /><br />1-ระบบปฏิบัติการรองรับเต็มที่<br />2-โปรแกรมที่เราจะใช้งานรองรับ<br />3-driver ของอุปกรณ์ต่างๆ รองรับ<br /><br /><br />ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ล้วนแล้วแต่ยังมีปัญหาในการรองรับในปัจจุบัน เราจึงยังไม่จะยังไม่เห็นความแตกต่าง<br />ของโปรแกรมประเภท 32bit และ 64bit นักแต่ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น<br />นับตั้งแต่ Window XP ได้ออก 64bit version สำหรับ CPU 64bit ออกมา,<br />Window Vista ที่ออกมาทั้งแบบ 32bit และ 64bit ,และโปรแกรมต่างๆที่เริ่มทยอยออก<br />เวอร์ชั่น 64bit กันออกมาแล้ว สิ่งเหล่านี้นับเป็นสัญญาณที่ทำให้แน่ใจได้ว่า ในอนาคต<br />การใช้งานประเภท 64bit คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้แน่นอน<br /><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308806559257118690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 364px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUwWDfRFKCkpHharhjq04QWHdkEPwIhA_ojC9nTcPb6fpABrvzMh3_WlZ4fRpo2RYPNUMILawixVe5rBy-OmMNhGIKmzZ3dHDE0O87XVORAf9bBnQywKZ85yKDK3jhyphenhyphenvFlI4YIZmcTL2Y/s400/32bit_vs_64bit.png" border="0" /><br />ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่าง 64bit และ 32bit คือ<br /><br />สามารถใช้แรมเพิ่มจาก เดิม 4GB เป็น 128GB (จริงๆแล้วซัพพอร์ตได้มากกว่านี้แต่ว่าถูกจำกัดไว้โดย Window)<br />โปรแกรมประเภท 64bit จะทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมตัวเดียวกันประเภท 32bit </p><p>(เงื่อนไข : โปรแกรม 64bit ทำงานบนระบบปฏิบัติการ 64bit และ โปรแกรม 32bit </p><p>ทำงานบนระบบปฏิบัติการ 32bit) แต่ไม่เห็นผลต่างนี้ในเกมปัจจุบัน<br />โปรแกรม 32 บิตสามารถรันบน CPU64bit ได้แต่ว่า โปรแกรม 64bit ไม่สามารถรันบน CPU32bit ได้<br />ต่อมาก็เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับผู้ที่จะซื้อโนตบุคนะครับ คือ เราสมควรจะซื้อ CPU ประเภทไหนกันแน่</p><p>ระหว่าง 32bit หรือ 64bit<br />คำตอบของคำถามนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ด้วยนะครับ ที่จะช่วยเลือกว่าเราจะซื้อ CPU ประเภทไหนดี<br /><br />จุดแรกคือ CPU ประเภท 64bit ในปัจจุบันนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า ตัวที่เป็น 32bit ทุกตัว</p><p>แต่ว่าเรื่องการประหยัดพลังงานนั้น ถึงแม้ว่า CPU ประเภท 64bit จะมีเทคโนโลยีในการประหยัดพลังงานใหม่ๆ </p><p>เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นเก่าก็ตามแต่ว่าเนื่องจาก CPU เหล่านี้เป็นแบบ Dual-core จึงเป็นที่แน่นอนว่า</p><p>ย่อมกินไฟมากกว่า CPU ประเภท single-core แน่นอน<br />และอีกจุดนึงก็คือ CPU 64bit เหล่านี้มีราคาที่แพงกว่า CPU ประเภท 32bit </p><p>พอสมควรจึงเป็นตัวเลือกให้ตัดสินใจสำหรับผู้ใช้ได้<br />-->> ต่อไปเป็นการเลือก CPU จากการใช้งานนะครับ<br />สำหรับผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ หลักๆแล้วเป็นการใช้งานที่เบาๆ ไม่มีอะไรมาก เช่น ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ </p><p>ทำงานเอกสาร office ง่าย มีไว้เพื่อโอนไฟล์เพลงลง MP3 player หรือ</p><p>งบประมาณจำกัด(ต่ำกว่า 25,000 บาท) ก็ควรเลือกเครื่องที่ราคาถูก และแค่ใช้งานของเราได้ก็พอ </p><p>ผมแนะนำให้ใช้เป็น Celeron M นะครับเพราะว่าเพียงแค่นี้ก็สามารถรองรับการใช้งานได้สบายๆ แล้ว<br />สำหรับผู้ที่ใช้งาน นอกบ้าน และใช้โนตบุคเพื่อการพรีเซนสินค้า ฉายสไลด์ นำไปโชว์ผลงาน หรือพูดอีกอย่างก็คือใ</p><p>ช้โนตบุคเป็นเครื่องสำรองสำหรับการพกพาไปใช้แสดงผลงาน โดยที่ตนเองใช้งาน PC เป็นหลักอยู่แล้วก็ควรใช้งานโนตบุค</p><p>ที่ ไม่ต้องมีประสิทธิภาพสูงนัก เพราะว่าเป็นแค่การใช้งานชั่วครั้งชั่วคราว และเน้นทางด้านการประหยัดพลังงานซะมากกว่า </p><p>ผมแนะนำให้ใช้เป็น Celeron M ,Core Solo นะครับเพราะว่า CPU รุ่นนี้สามารถประหยัดพลังงาน</p><p>ได้มาก ใช้งานนอกสถานที่ได้เป็นเวลานาน<br />ต่อมาสำหรับผู้ใช้ที่ ใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางครับพวก วิศวกรรม ,ไฟฟ้า ,ตัดต่อวีดีโอ ฯลฯ นั้น</p><p>ผมแนะนำให้เลือก CPU ที่รองรับอนาคตเพราะว่าโปรแกรมเฉพาะทางเหล่านี้มีโอกาสที่เวอร์ชั่นต่อไป</p><p>ที่จะออกมาเป็น แบบ 64bit นั้นค่อนข้างสูงเพราะว่าโปรแกรมเหล่านี้ถ้าใช้งานในระบบ 64bit </p><p>จะทำงานได้รวดเร็วขึ้นมาก โดย CPU ที่แนะนำคือ Turion64 ,Turion64x2 ,Core2Duo </p><p>(ได้ทั้ง 2 รุ่นคือ t5xxx และ t7xxx)<br />สำหรับผู้ใช้งาน ระดับทั่วๆไป ที่มีงบประมาณกลางๆ ระดับ <45,000> <p>ที่จะให้โนตบุคนั้นใช้งานได้ไปอีกนาน และใช้โปรแกรมเล่นไปเรื่อย แบบว่าใช้งานกว้างๆ </p><p>นั้นผมก็ขอแนะนำเป็น CPU Turion64x2 และ Core2Duo ตระกูล t5xxx ครับ เ</p><p>พราะว่าประสิทธิภาพของ 2 ตัวนี้นั้นสามารถรองรับการใช้งานของโปรแกรมใหม่ๆ ไปได้อีกนาน </p><p>และด้วยตัวของมันเองที่รองรับการใช้งาน 64bit ทำให้สามารถรองรับโปรแกรมในอนาคตได้ </p><p>สุดท้ายนะครับสำหรับผู้ใช้งานที่มีงบประมาณสูง (ระดับ >70,000 ขึ้นไป) ผมก็แนะนำให้เลือกใช้ </p><p>CPU Core 2 Duo ตระกูล t7xxx นะครับเพราะว่า CPU ตระกูลนี้ได้รับการยอมรับเลยว่าเร็วที่สุด</p><p>ในปัจจุบันแล้ว และเราก็มีเงินเหลือเฟือที่จะเลือกใช้โนตบุครุ่นที่เราอยากได้ ถ้าไงแล้วก็เลือกรุ่นที่เร็วที่สุด</p><p>ไปเลยดีกว่า ครับคือการเลือกในข้อนี้นั้น ไม่ต้องพิจารณาอะไรมากครับ เพราะด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก</p><p>ทำให้เราสามารถเลือกเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดที่เราต้องการได้อยู่แล้ว ครับไม่คำนึงถึงการใช้งาน </p><p>เพราะว่าแน่นอนว่าความสามารถระดับนี้ย่อมทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว<br />ครับสำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี CPU ใหม่ที่เรียกว่า 64bit นี้จะทำให้ผู้ที่สงสัย นั้น</p><p>ได้หายข้องใจกันลงได้นะครับ หรือผู้ที่กำลังลังเลใจในการเลือกซื้อจะได้ สามารถเลือกซื้อได้อย่างสบายใจ </p><p>ไม่ต้องเก็บมานั่งคิดให้เครียดกันอีกต่อไป<br /><br /><br /><br />ขอขอบคุณบทความจาก <a href="http://www.notebookspec.com/">http://www.notebookspec.com/</a><br /></p>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-65509296873465425762009-03-02T19:38:00.000-08:002009-03-02T19:52:38.582-08:00CPU Intel 32 นาโนเมตร<div><div><div><div><div>Intel เปิดเผยเทคโนโลยีการผลิตโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตรเป็นครั้งแรกของโลก<br /></div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308801810228264290" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 103px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB1eizOUb58vfYxuBP424SMhrP4Am8GtxPEPyeZKjEsltZVnmf9tvOrLkMlMFPV247yPlZvduh8N7x2rez5XgstsQ0opSsnWNZujn4Xm057XuQ48-2LAlySZK6K4yjWlIQyPkVlK31dcw/s400/555555555.bmp" border="0" /><br /><div>จากการแถลงข่าวที่ทาง Intel ได้จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ซานฟานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา </div><div>ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเทคโนโลยีโพรเซสเซอร์ที่ลดลงจาก 45 นาโนเมตร </div><div>เป็น 32 นาโนเมตร โดยในการสาธิตประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ที่ทำการผลิตด้วย</div><div>เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้จะเป็นการทดสอบทางด้านของ Desktop (PC) และ </div><div>Laptop (Notebook) ก่อน โดยการผลิตโปรเซสเซอร์ Desktop และ Laptop </div><div>ด้วยเทคโนโลยี 35 นาโนเมตรนี้ ทาง intel ได้ตั้งชื่อให้ว่า “Westmere” (เวสท์เมียร์) </div><div>โดยจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 โดยขั้นตอนการผลิตโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตรนี้</div><div>จะส่งผลให้การทำงานของโปรเซสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทาง intel </div><div>ได้แจ้งว่า “จะทยอยนำโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในขั้นตอนการผลิน Westmere นี้</div><div>ไปใช้กับ Desktop , Laptop และ Saver ตามลำดับ”<br />intel ได้อธิบายถึงการทดสอบ CPU ในรูปแบบเทคโนโลยีการผลิต 32 นาโนเมตร </div><div>เป็นครั้งแรกของโลก!!!<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308802180990425714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 299px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgd2eN0Seq_UlFJPnEbGUI4WPZeTwCLUX6Mfmordqdszbd65wVnBt6Oc4j4RMY3rNrt3DwwNIuiuUXTuHilsGDOgQip-AZvyw_20fRq0PyCwAuxPWubAHpZdDJBnBhDTdzM6O6NcwEdXtk/s400/2.bmp" border="0" /><br />ขั้นตอนในการผลิตโปรเซสเซอร์ด้วยเทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้ จะผลิตด้วยเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์</div><div>ที่มี Hi-K metal gate อยู่ด้วย Hi-K metal gate คืออะไร??<br />Hi-K เป็นเทคโนโลยีที่ Intel ได้พัฒนาขึ้นมาจากการผลิตทรานซิสเตอร์ โดยคุณสมบัติของเทคโนโลยีนี้</div><div>คือ จะช่วยลดการรั่วของกระแสไฟฟ้าภายในทรานซิสเตอร์ ที่มีผลต่อการออกแบบขนาดการผลิตที่เล็ก</div><div>และการใช้พลังงาน เมื่อเปรียบเทียบกับในรุ่นก่อน ๆ อย่าง 45 นาโนเมตรซึ่งใช้ เทคโนโลยี Hi-K นี้เช่นกัน</div><div>ในการผลิต จะเห็นได้ว่าด้วยขนาดที่เล็กลงทำให้การลงทรานซิสเตอร์เข้าไปในโปรเซสเซอร์ทำได้ง่ายขึ้น </div><div>มีผลทำให้การใช้พลังงานลดลงไปด้วย<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308803001337967266" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 299px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-IS3PZf5jaLocjsnBtL-7bIwIIpwVrGmkRd4wufV08RcKecH4BC_BtDiqNnGKjHlaamjgS1UrVrYOkJ3Cu9Q3fESe2E2Pm0fc1TcDEzT1ldQ1lHz5rk21FddTaFwtEf9ylFLKUV1TuM0/s400/3.bmp" border="0" /><br />คุณสมบัติของโปรเซสเซอร์ที่ใช้กระบวนการผลิต “Westmere”<br />เทคโนโลยี Intel Turbo Boost : เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเร่งการทำงานของคอร์ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในขณะนั้น </div><div>เพื่อเร่งประสิทธิภาพในการประมวลผลของโปรเซสเซอร์<br />เทคโนโลยี Intel Hyper-Threading (2 C 4 T)<br />แคชมีขนาดถึง 4 MB พร้อมทั้ง integrate Memory Controller (IMC) </div><div>รองรับ DDR 3 -2ch<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308803252606938898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 299px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg01rIrjgN8ZiO_k9qpu2b4EWS87dO0Ahkqvj-uEZMrJ7ZAZsRzAGIkelLWNbWWjfn0OTfDZxP3g0oqNPIhDgQAo81Tusmk_1s7O1xA38_HOwy6HKA-Le8Ds1XaFuJNAvMfbFWFnjYMrKM/s400/4.bmp" border="0" /><br />เนื่องจากการผลิตด้วยเทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้ทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับลงระบบกราฟิกในตัวเพื่อรองรับ</div><div>การทำงานของการใช้การ์ดจอแยกและสลับการทำงานระหว่างกราฟิกในตัวของโปรเซสเซอร์และการ์ดจอ<br />ตารางรหัส ของ Nahalem และ Westmere และรายละเอียดทั้งหมด<br /><br /></div><div> </div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308803502573678866" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 299px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5QZQdvVq9XNTLV3G8O9W5KKTPAZy8Wri4gtRvBwdHORmskpHTmasiYO7ZRo6dNQHc4J-X_Vv05QS2p1KWWDSyjv4Rf7UQcWW8SFLFM5L3TrmNJZV1RlJimd9otVOokmAqX928aPwRp0Q/s400/5.bmp" border="0" /></div></div></div></div><br /><p> </p><p>สวัสดีค๊าบ...............................................</p>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-72644291580283670722009-02-28T19:27:00.000-08:002009-03-02T19:37:47.912-08:00สร้างไฟล์ PDF ฟรีๆกันเถอะห่างหายไปเกือบเดือนครับ....พอดีไป ตปท.มาอ้ะครับไปญี่ปุ่นมา3สัปดาห์<br />ทางบริษัทส่งไปรับเครื่องที่<br />ญี่ปุ่นเลยไม่ได้อัพบล๊อคเลย....มีเรื่องอยากเล่าไห้ฟังว่าบ้านเมืองเขาเจริญมากๆ...<br />สะอาดกว่าบ้านเราเยอะ..ทุกอย่างเป็นระเบียบหมดเรยแต่ด้วยความที่เจริญทางวัตถุ<br />สูงมาก...ความรู้สึกผมว่าเขาไม่ค่อยจะมีน้ำใจกันสักเท่าไหร่..คือแข่งขันกันทุกอย่าง<br />เป็นเงินเป็นทองหมดขนาดในโรงงานที่ผมไป น้ำเปล่ายังต้องซื้อกิน......<br />มาดูกันดีกว่าวันนี้มีอะไรมาฝากวันนี้จะกล่าวถึง PDF File....ก่อนอื่น<br />เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า PDF Fileคืออะไร มันก็คือไฟล์ เอกสารชนิดหนึ่ง<br />เป็นนามสกุล PDF ใช้กันอย่างแพร่หลายมากถ้าพูดถึง PDF File หลายๆท่าน<br />คงจะนึกไปถึงเจ้าของ PDF File ยักษ์ใหญ่อย่างAdobe เจ้าของต้นตำรับ PDF File<br />และการที่จะสร้าง PDF File ต้องซื้อครับเพราะ Adobe<br />มีฟรีแค่ตัวเปิด PDF File เท่านั้น......ความสามารถไฟล์ PDF มีมากมายหลายอย่าง<br />เช่น ทำหนังสือ อิเลคทรอนิคส์ แบบเปิดหน้าได้เปงร้อยๆหน้าที่หลายๆท่าน<br />เคยอ่านสร้างแบบ เขียนแบบ 3มิติ ใน Solid Works และอื่นๆอีกมากมาย<br />ที่โปรแกรมนี้ทำได้ครอบจักวาล..และที่สำคัญ ค่าย Adobe<br />ครองเจ้าโปรแกรม Flash Player บน Internetอยู่นะครับ และเสถียรที่สุดด้วย<br />แต่วันนี้เรามีทางเลือกไห้คนงบน้อยที่อยากสร้างไฟล์ PDF แต่ไม่อยากเสียตังค์<br />เรามีตัวสร้างไฟล์ PDF ฟรีๆมาแจกครับขอบอกก่อนว่า บทความนี้เป็นพรีวิวจาก<br />หนังสือ PCToday ครับเป็นการเทส จากโปรแกรมสร้างไฟลN PDF ฟรีๆ 5โปรแกรม<br />แล้วคัดตัวที่ดีที่สุดมาให้เราครับ ตัวสร้างไฟล์ PDF ตัวนี้มีชื่อว่าPDFCreatorเป็น<br />โปรแกรมสร้างไฟล์ PDF ที่พัฒนามาต่อเนื่องยาวนานและเป็นการพัฒนา<br />แบบ Open SOURCES มั่นใจได้เลยว่าเป็นโปรแกรมฟรีแน่นนอนและจะฟรีตลอดไป...<br />ไม่มีกั๊กความสามารถเก็บไว้แน่ๆเป็นโปรแกรมที่น่าใช้ที่สุดเพราะใช้กับภาษาไทยได้ดี<br />ไม่มีเพี้ยนเลยและที่สำคัญมีฟังก์ชั่นให้ใช้มากที่สุดในบรรดา 5โปรแกรมที่ทดสอบมา<br />และนอกจากจะเซฟไฟลื ออกมาเป็น ไฟล์ PDF แล้วยังสามารถเซฟไฟล์ออกมา<br />เป็น PNG - JPEG - Tiff - PS - EPS และอื่นๆอีกเยอะแยะไปหมดจะเทียบ<br />การเซฟไฟล์ที่หลากหลายก็เทียบได้กับAdobe Acobat เลยล่ะครับและที่สำคัญ<br />สามารถปรับไฟล์เวอร์ชั่นเอกสารให้เปิดบน Acrobatได้ด้วยครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวล<br />และเทคนิคบางอย่างจากการที่ผมเองได้ทดลองใช้มา การเซฟไฟล์ เวลาตั้งชื่อไฟล์<br />ต้องตั้งชื่อภาษาอังกฤษสั้นๆ มิฉะนั้น มันจะเซฟไฟล์แล้ว ERRORครับ<br />อีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนที่จะเซฟไฟล์ ออกมาเป็น ฟอร์แมต ต่างๆ ไห้เปลี่ยนชื่อเสียก่อน<br />อย่าให้ซ้ำกับที่เดิมนะครับ การแปลงไฟล์เอกสาร พวก Word EXEL หรือ<br />NotePad เองก็ทำได้ดีครับ ไม่มีเพี้ยนไห้เห็นเลยสุดยอดจริงๆ ทำงานได้ไวมากๆ<br />เฉลี่ยการแปลงไฟล์เอกสารประมานไฟล์ละ2วินาทีเท่านเอง<br />นอกจากนี้ ยังสามารถนำไฟล์ หลายๆไฟล์ มาสร้างเป็นไฟล์ เอกสารไฟล์เดียวได้ครัย<br />วิธีใช้ก็แสนจะง่าย ให้เราลากไฟล์เอกสารที่เราต้องการรวมมาไว้ในลิสต์<br />แล้วกด Ctrl+คลิกไฟล์เอกสารทั้งหมดให้เป็นแถบสีดำ จากนั้นไห้กด<br />ที่แถบ Menu Bar Document เลือก Combine<br />หรือจะคลิกที่ รูปแผ่นกระดาษซ้อนกัน 3แผ่น บนMenuBar ก็ได้ครับ<br />แล้วโปรแกรม มันจะ Run เอกสารออกมาเป็นไฟล์เดียว แล้วเราค่อยลงมือ<br />เซฟไฟล์ ออกมาครับ<br />จุดเสียอย่างเดียวของ PDFCreator คือการทำงานที่อืดนิดๆของไฟล์เอกสาร<br />ขนาดใหญ่ทาง เวลาเซฟไฟล์ อาจจะช้าไปบ้างเหมือนมันจะแฮงค์แต่ไม่ใช่ครับมัน<br />ทำงานอยู่แต่ถ้าเปงไฟล์เล็กๆ ก็แปปเดียวไวเหมือน Acrobatเลยแต่จากการใช้งาน<br />ที่ผมทดลองดูนะครับ แปลงไฟล์เอกสารเนี่ย 10 หน้าแปปเดียวครับ<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5308057172751664226" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 296px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivSs3yZ9aX2RYKWKLLYKgvInQHC4DLgo4NZ1bCnZq5xZUYGSivRPI5a6IryzKaoMUJQY3WdwmJQkfojmJ2f-UznIp-HEv0nDRDBeAsMDKtCgP2q_Jy9G9EHXc11J7hSEo1KQoR_6eiiXo/s400/2009-03-01_103122.png" border="0" />กระพริบตาทีเดียวเองไวจิงๆเหมือนกด REFRESH ทีเดียวเครื่องผม CPU 2Coreด้วย<br />วิธีใช้ก็ง่ายๆครับแค่พิมเอกสารจากที่ไหนก็ได้ เช่นผมพิมพ์จาก Word แล้วสั่ง<br />เซฟไฟล์ออกมาเป็นไฟล์ PDF ผ่าน PDFCreator เท่านั้นเองหรือถ้า งง<br />ก็ลากไฟล์เอกสารที่เราต้องการจะทำ ไปใส่ในโปรแกรมแล้วกด SAVE ก็จบครับITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-36448881606286824112009-01-27T06:32:00.000-08:002009-01-27T07:22:31.357-08:00Nvidia Graphic Plus<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNFmpaUh2iNQRYROTTUz4NEbchS-eJzI6I82FmM2kia6aptQ4kf7d4Sa8DjNvcpxptP-lG_6Pia_s8PTGjkv_lbwDLgseKPPg76_iU1nMcH-epENLMfUqN19vdw-2YXSHKaywAeeZZQ-o/s1600-h/3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295993404757252322" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 279px; CURSOR: hand; HEIGHT: 400px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNFmpaUh2iNQRYROTTUz4NEbchS-eJzI6I82FmM2kia6aptQ4kf7d4Sa8DjNvcpxptP-lG_6Pia_s8PTGjkv_lbwDLgseKPPg76_iU1nMcH-epENLMfUqN19vdw-2YXSHKaywAeeZZQ-o/s400/3.jpg" border="0" /></a><br /><br /></div><div>หลังจากที่ปล่อยให้ ATI ปล่อย Radeon ซีรี่ส์ 4 ออกมาทำตลาดโดยที่ประสิทธิภาพของ Radeon HD ซีรี่ส์ 4 ก็กินขาดการ์ดของ Nvidiaวันนี้ยักษ์เขียว Nvidia กลับมาพร้อมกับแคมเปญใหม่ พร้อมสโลแกนที่ว่า"Nvidia Graphic Plus"ซึ่งNvidia ปล่อยประโยคเด็ด "Nvidia เป็นมากกว่ากราฟฟิคเพื่อใช้เล่นเกมส์"วันนี้เราจะมาดูรายละเอียดคร่าวๆก่อนว่า"Nvidia Graphic Plus"แท้จริงแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือใส่เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆเข้ามาบ้างมาดูกันครับ<br /></div><div>******ความหมายของ "Nvidia Graphic Plus"ระบบประมวลผลทางฟิสิกส์(PhysX)ระบบเกมส์สามมิติเยี่ยงการดูหนัง IMAX (3D stereo)ระบบประมวลผมวีดีโอ (Video Processing)ระบบประมวลผลด้านภาพถ่าย (Image Processing) การที่จะเรียกว่า"Nvidia Graphic Plus"ได้นั้นต้องมีองค์ประกอบด้วยระบบทั้ง 4 ที่กล่าวไว้ข้างต้นครับโดยการ์ดที่รองรับ"Nvidia Graphic Plus"ได้นั้นจะเป็นNvidia GForce ซีรี่ส์ 8 ขึ้นไปครับ<br /></div><div>****ระบบประมวลผลทางฟิสิกส์(PhysX)PhysX คือระบบฟิสิกส์ ต่างๆรวมไปถึงการตกกระทบของวัตถุต่างๆ การกระเด็น ของวัตุถุต่าง ภายในฉากให้เหมือนจริงโดยอ้างอิงจากแรงโน้นถ่วงของโลก </div><div>เช่นเศษหินเศษปูนที่ถูกระเบิดหรือถูกปืนยิงแล้วฟุ่งกระจายเป็นต้นเมื่อก่อน PhysX </div><div>จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการ์ดประมวลผลฟิสิกส์โดยเฉพาะอีกตัวหนึ่ง แยกต่างหาก</div><div>จากการ์ดจอ และก็มีเพียงค่าย AGEIA เท่านั้นที่ผลิตการ์ดฟิสิกส์ </div><div>แต่ปัจจุบัน AGEIA ถูก Nvidia เทคโอเวอร์ไปแล้วทำให้การ์ด Nvidia G8 ซีรี่ส์ </div><div>ขึ้นไปสามารถเปิดการประมวลผลPhysXได้โดยเพียงแค่โหลดไดร์เวอร์ที่ Nvidia </div><div>เตรียมไว้ติดตั้งเข้าไปก็สามารถใช้งานได้ทันที<br /></div><div>****ระบบเกมส์สามมิติเยี่ยงการดูหนัง IMAX 3D (3D stereo)ระบบ 3D stereo </div><div>เป็นเหมือนระบบสามมิติของ IMAX แต่ถ้าใครไม่เคยชมIMAX มาก่อนขอ</div><div>อธิบายสั้นๆว่ามันคือ ระบบสามมิติทะลุจอนั่นเองโดยการใช้งานจำเป็นต้อง</div><div>มีอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า "GForce 3D visionActive Glasses และจอภาพที่</div><div>รองรับระบบ 3D Stereo ด้วยในมุมมองของเหล่าเกมส์เมอร์อาจจะดูไม่คุ้มค่านัก</div><div>แต่ปี 2009 นี้ระบบ 3D stereo จะถูกปัดฝุ่นใหม่แล้วบรรจุลงในการ์ด</div><div>ของ Nvidiaและตอนนี้เหล่านักพัฒนาเกมส์กำลังพัฒนาระบบนี้อยู่ด้วย</div><div>เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันไกล้นี้เราจะได้เล่นเกมส์ทะลุจอกันแน่ๆ</div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295993583626676978" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 241px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrPAoZ-kIXgQ5FwhdG3DHByvk2U9nepjVG9K3TLJJgWJMziCfDVzD8Ke24k-KaMNBpjACb5UOaJbt61z-H7yfTTv6wiZC82Iv1chQMbfD9kWuCamcNWaSGEWl9gkddw6fZbXL7aiVBhJ4/s320/1.jpg" border="0" /><br />****ระบบประมวลผมวีดีโอ (Video Processing)/<br />ระบบประมวลผลด้านภาพถ่าย (Image Processing)<br /> ทั้ง 2 ระบบนี้ขอรวมเป็นหัวข้อเดียวเพราะว่าจุดกำเนิดมาจากเทคโนโลยี CUDA<br />โดยเทคโนโลยี CUDA เป็น API ที่ใช้คำสั่งสั่งงาน GPU ให้ทำงานได้เหมือน<br />เป็นCPU อีกตัว ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว GPU จะทำงานเร็วกว่า CPU มากเมื่อทำงาน<br />ร่วมกับโปรแกรมที่สนับสนุน(เพราะมีจำนวนคอร์ที่มากกว่า)และการ์ดจอที่ใช้ได้ก็<br />ซีรี่ส์ 8 ขึ้นไปอีกแล้วคับท่านปลายปี 2008 ในส่วนของโปรแกรมที่สนับสนุน<br />ระบบVideo Processingยังมีไม่มากนัก ส่วนมากจะอยู่ในช่วงพัฒนาครับ<br />เพราะยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ระบบประมวลผลด้านภาพถ่าย (Image Processing)<br />ก็มี Adebe Creative Suits 4 ที่รองรับได้ ถ้าโปรแกรมสามารถซัพพอร์ท<br />ได้เต็มที่จะสามารถทำงานเกี่ยวกับภาพความละเอียดสูงได้ดีขึ้นเช่นภาพถ่าย<br />จากกล้อง DSLR ที่เป็นไฟล์ RAW เพราะโปรแกรมจะนำเอา OpenGL มาใช้งานร่วมด้วย<br />สรุปตอนนี้ก็พอจะมองเห็นกันลางๆแล้วครับว่าการ์ดรุ่นใหม่ๆที่ทาง Nvidia<br />จะขนออกมาสู้กับ ATI จะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วเทคโนโลยี<br />"Nvidia Graphic Plus" จะคุ้มค่าหรือแค่ "ราคาคุย"เอาไว้ถ้า Nvidia เปิดตัว<br />เมื่อไหร่ จะรีบนำมาพรีเซ้นท์ให้นะแต่จากที่ไปอ่านเจอ บ้างก็ว่าดีภาพสวยขึ้นมาก<br />บ้างก็ว่าไม่ดีหน่วงการ์ด ความร้อนสูงความเร็วการ์ดตก แต่ยังไม่มีพรีวิวการทดสอบแบบ<br />จริงๆจังๆเลยยังไม่อยากเอามาเล่าให้ฟัง.....แต่ตอนนี้...<br />ถ้าจะซื้อการ์ดสักตัว Radeon HD 4xxx นะครับเหตุผลน่ะหรือ??<br /> แรง เร็ว ถูกตังค์ (แค่เนี้ย..พอป้ะ)<br /><br /> ขอบคุณข้อมูลดีๆจากนิตยสาร Weekly OnlineITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-60894601956911218542009-01-25T03:10:00.000-08:002009-01-25T03:58:30.156-08:00Flash Drive 64 GB<div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295188466652430834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 213px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi4YzCTt2MBXqKqSrccjGjEaN596CELkscdxFdEVeP0YgqmetsQ6N7-ehzDtwnywYMkRg8pmuJeWl6vgBOtsfdgHkwTQyfjSMPA3AgHH5DZ9c2iJMm8cLI6UmpjpN6yrkTkaIcGjaW8NUU/s320/00251_7.jpg" border="0" /> สีแดง 64 G เทียบกับสีขาว 4 G <div><div><div><div><br /></div><p> </p><p>เริ่มต้น…เปิดตัวโอะ โอะ โอ้ย...อะไรกันนี่ กับความจุใหญ่โตมโหฬารอะไรจะปานนี้ </p><p>มีด้วยเหรอครับ งง (ผมเองยังงง <*:*>) ไม่น่าเชื่อว่าความจุอย่างแฟลชไดร์ฟ</p><p>จะสามารถขยายหน่วยความจำออกไปได้ไกลถึงเพียงนี้ ไกลสุดๆ ถึง 64GB ครับ</p><p> ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละครับ ว่ามันมีจริงๆ ปรากฏแล้ว ที่นี่ ที่เดียว กับเว็ป i3 ของเรา</p><p>เป็นที่แรก กับการลองของจริง (ที่ไม่เกี่ยวกับป๋อง กมล ทองพลับ) กับแฟลชไดร์ฟ</p><p>จาก Kingston ที่ได้รับมาในการทดสอบครั้งนี้ กับความจุขนาดมหึมา ใหญ่โตซะ ที่</p><p>สามารถใส่อะไรก็ได้ ที่ไม่มีวันเต็ม และไม่มีวันหมด (ขนาดฮาร์ดดิสก์ลูกเก่าที่บ้านผม </p><p>60GB ยังไม่เต็มเลยครับ เน้นเก็บโปรแกรมอย่างเดียว) อ้อ..ผมมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกครับ </p><p>อีกลูกขนาด 500GB ไว้เน้นลงวินโดว์ ถ้าจะว่าไปแล้วความจุขนาด 64GB</p><p> จะเปรียบเสมือนฮาร์ดดิสก์ขนาดหนึ่งลูกก็ยังได้ครับ ยิ่งปัจจุบันมีฮาร์ดดิสก์</p><p>แบบใหม่ ที่เค้าเรียกว่า Solid State Drive หรือเรียกย่อๆ ว่า SSD นั่นเองครับ</p><p> กับความจุขนาดนี้ ก็มีตั้งแต่ 8GB, 16GB, 32GB, 64GB เป็นต้น ซึ่ง</p><p>ขนาดความจุของ SSD นั้น ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแฟลชไดร์ฟ 64GB </p><p>จาก Kingston ครับ โดยรวมแล้วเหมาะสำหรับผู้ที่เก็บไฟล์ขนาดใหญ่</p><p>เป็นจำนวนมาก ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น</p><p>แล้วคุณละจะเก็บอะไรดี ประโยคนี้ไม่ต้องมัวคิดให้เสียเวลาเลยครับ</p><p> กับความจุขนาดใหญ่แบบนี้ ที่สามารถใส่อะไรก็ได้ตามแต่ใจเราต้องการ</p><p> ไม่ว่าไฟล์นั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เช่น ไฟล์ติดตั้งซอฟต์แวร์ ไฟล์</p><p>โหลดบิตทอร์เร้นต์ ไฟล์ติดตั้งเกมออนไลน์ จะยกโขยงกันมาทีเดียว</p><p>หรือทยอยกันมาก็ไม่หวั่น เช่น ไฟล์ติดตั้ง .exe อย่างเกมออนไลน์ </p><p>เราสามารถจับใส่ได้ตั้งแต่เกม Dekaron, Luna Online, Raycity, </p><p>DotA-AllStars, FIFA Online 2, Freestyle, Hip Street, Kart Rider, </p><p>Pangya, Point Blank, Pucca Racing และ Sudden Attack เห็นมั้ยละครับ </p><p>มีแต่เกมที่น่าเล่นทั้งนั้นเชียว แบบนี้ก็สามารถพกพาไปไหนก็ได้ แบบว่า</p><p>นึกอยากเล่นเกมไหน ก็ลงติดตั้งได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาหาแผ่น Client </p><p>ให้ยุ่งยากอีกต่อไป หรือมัวเสียเวลารอกับการดาวน์โหลดจากเว็บไซต์</p><p>ที่อืดอาด ยืดยาด นานนับชั่วโมง</p><div><br /><br /><br /></div><p>Kingston ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับหน่วยความจำระดับโลก </p><p>ประกาศเปิดตัว และจำหน่าย ยูเอสบีแฟลชไดร์ฟรุ่นใหม่ </p><p>DataTraveler 150 (DT150) มาพร้อมความจุสะใจวัยโจ๋ขนาด 64GB </p><p>ที่ช่วยให้คุณจัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนบนไดร์ฟเพียงตัวเดียวเท่านั้น </p><p>หมดอุปสรรคจากการจัดเก็บข้อมูลไม่ได้อีกต่อไป โดยเป็นแฟลชไดร์ฟที่มี</p><p>ความจุสูงมากที่สุดในตอนนี้ มากกว่ายี่ห้ออื่นๆ ที่เคยเห็นมา </p><p>(อย่างตอนนี้ Kingmax กับความจุ 16GB เท่านั้นครับ) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ</p><p>จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงาน รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวเอาไว้</p><p>ในไดร์ฟเดียวกันได้สะดวก รวดเร็ว เพิ่มความสะดวกสบาย </p><p>พร้อมใช้งานได้ทันที มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลอื่นๆ เหลืออีกมากมาย </p><p>โดยผู้ใช้สามารถโอนถ่ายและใช้งานข้อมูลดิจิตอลต่างๆ ได้อย่างสะดวก</p><p>ไม่ว่าจะเป็นคลังเพลงในรูปแบบไฟล์ MP3 หรือจะคลังเพลงใน</p><p>รูปแบบไฟล์ Audio ที่มีขนาดใหญ่และกินพื้นที่มากก็ตาม หรือจะเก็บ</p><p>รูปถ่ายจากกล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดสูง นอกจากนี้ยังรวมถึง</p><p>ภาพวิดีโอ เอกสารทางธุรกิจจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ไม่หวั่น </p><p>รวมทั้งรายงานวิทยานิพนธ์ หรือแม้แต่ภาพเคลื่อนไหวที่ต้องใช้เนื้อ</p><p>ที่มากก็ตามกับ YouTube หรือ Clip VDO เอาเป็นว่าเก็บได้ครบ</p><p>ทั้งหมดโดยไม่ต้องเปลี่ยนแฟลชไดร์ฟตัวใหม่ ให้ยุ่งยาก เสียเวลา </p><p>และเสียเงินครับ</p><div><br /> </div><div> </div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295191095090303090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 257px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheIIKHLmROfqxPAlse5xjvuP3vlXmNcHgug2hRAwsC0gYHrfqa52oUvRqggQ-Gr8k7n9eicHKJGilgrCCQqg8ftbRR-cgjU_kqN9rMwBJm4cakt7R1skNF7kxoVADQYmEEE6xY5adlThM/s320/p1.jpg" border="0" /> ผลทดสอบที่แสดงให้เห็นถึงความจุขนาด 4GB ใช้เวลาอ่านข้อมูลที่ 2.6ms<br /><br /><p> (ค่ายิ่งน้อยยิ่งเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว)ส่วนอัตรารับ/ส่งข้ิอมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 10.6 MB/sec</p><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295191688582150994" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 257px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgiSq-MAvvS_NJ2wCGEfp9zxcL2GNUEKXrwOyXgB6IWrARKaOv-DqkFUF1FWK3XEj2UcdqDRFKGb-Dv4mKEb0LWDwSW_pbHMhFfJHoVjfFQsKGWfnXX2Xn17aubaXGhpOZEuisVgbao6w/s320/p2.jpg" border="0" /><br /><p> สนับสนุนรูปแบบไฟล์ประเภท FAT32</p></div><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295192085762479266" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 257px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVh_fSUjboN0Io0TcZtV-xDDF4w_Cau1kPeFNKh1lwzORVv0alWgUGsKjcKHq63beRh0jSbe2Cnz6yFpem5PipIOGTdERZ42dp_q5TqBgGfkR-Zz2wI0IskL2DMBiV4Rf1slhVko8Mv5Q/s320/p3.jpg" border="0" />ถึงแม้ว่าความจุ 64GB ใช้เวลาอ่านข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 29.7ms มากกว่าตัว 4GBแต่อัตราการรับ/ส่งข้อมูลที่มากกว่าเท่าตัว 31.1 MB/sec</div><br /><br /><br /><p></p><br /><br /><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295192774363244098" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 257px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGRcJg1V9B4JehuwxKdXx38QdarRsKbg7Zu2rxBFJrcYc31I96LWpv8wlx7pTqKXpeflOzuEtI1sZSKFb5luHFCM7M4zeUJw9m7JS-ZPxL7upTtOCEujuqeLGCtNv9DAaB2vY7IDzp-v0/s320/p4.jpg" border="0" /></p></div><p> สนับสนุนรูปแบบไฟล์ประเภท NTFS</p><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295193765296399474" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 205px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxchkFrpgikG8trCLE377ymqiqhg4iJw-gT3eQsehBx5CoJxrckwce1WgsSpqUuI0ST-J58SkGLbWoin0uFPg91Impk6O2hrj8BSc_QjTu_18mFK9j9MCUPOYTWBWPzXlxY332vEBqifc/s320/p6.jpg" border="0" /><br /><p></p><p> ปัญหาความจุ 64GB กับ Windows XP คือ ไม่สามารถ Format จากตัววินโดวส์ได้</p></div><br /><p></p><br /><p></p><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5295194262489311714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 185px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzvvD25BvZDv4kOvvSfNqHjfKia-RZdcfsMAmtZwywTVCchR_CH6NqSUbUzvlazdfHW00p5KNWurZYYqL3HSWfV_Z9KbeOhAjD4z_sYZiLkXQfoquRqqMU3-89LwvPhfQ0iN-UgnEQ9Vc/s320/p7.jpg" border="0" /></p><br /><p> แต่ขณะเดียวกันกับ Windows Vista กลับสามารถ Format จากตัววินโดวส์ได้</p><p> </p><p> </p><p>รูปร่างหน้าตาแฟลชไดร์ฟขนาด 64GB ที่เน้นลวดลายสีสันสะดุดตาและสวยงาม</p><p> ด้วยสีแดงตัดกับลายจุดดำ ที่ดูโดดเด่นและลงตัว เปรียบเสมือนจุดขายที่สำคัญ</p><p>ของ Kingston ครับ สำหรับการใช้งานนั้นก็ไม่ยากเลย เพียงคลิกแล้วลากเท่านั้น</p><p> ผมได้ทดลองโยนไฟล์จากแฟลชไดร์ฟขนาด 4GB ไปที่ 64GB </p><p>(ของ Kingston ทั้งคู่ครับ) ผลปรากฏว่าลื่นและเร็วที่สุด แต่ต้องใช้กับ</p><p>ระบบปฏิบัติการ Windows Vista เท่านั้นครับ ถึงจะเสถียร และไม่เกิดอาการ </p><p>Error ระหว่างการโอนถ่ายข้อมูลครับ ทั้งนี้จากการ Format แล้วพบว่า</p><p>สามารถเลือกประเภทของไฟล์ได้ ตั้งแต่ FAT, FAT32 และ NTFS </p><p>แต่ในทางกลับกันถ้าใช้กับ Windows XP จะเกิดอาการ Error ให้เห็นบ้าง</p><p>เป็นบางครั้ง บางเวลา และจะใช้ระยะเวลานานกับการโอนถ่ายข้อมูล </p><p>แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่สามารถเลือก Format จากตัววินโดว์ได้ โดยที่รูปแบบ</p><p>ไฟล์ก็ไม่ปรากฏให้เห็นครับ จากการทดสอบประสิทธิภาพความเร็ว</p><p>ของแฟลชไดร์ฟทั้ง 2 รุ่น 2 ขนาด ด้วยโปรแกรม HD Tune แฟลชไดร์ฟ</p><p>ขนาด 4GB มีอัตราการรับ/ส่งข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 10.6 MB/sec </p><p>(ขนาดเมกะไบต์ต่อวินาที) และเข้าถึงข้อมูลได้เร็วเพียง 2.6 ms เท่านั้น </p><p>รวมแล้วใช้พลังงานซีพียูเพียง 3.4% แต่แฟลชไดร์ฟขนาด 64GB </p><p>ไม่ได้ใหญ่แต่ความจุอย่างเดียว แต่มีอัตราการรับ/ส่งข้อมูลมากกว่า</p><p>ตัว 4GB มีอัตราการรับ/ส่งข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 31.1 MB/sec </p><p>(ขนาดเมกะไบต์ต่อวินาที) และเข้าถึงข้อมูลได้ช้ากว่า 29.7 ms </p><p>ที่ใช้พลังงานจากซีพียูถึง 7.7% จะให้ดีสำหรับ 64GB ตัวนี้ผมแนะนำ</p><p>ใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows Vista ครับ ด้วยประสิทธิภาพโดยรวม</p><p>ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สำหรับราคาขายนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 6,200 บาท </p><p>(ราคาตอนเปิดตัว) ถือว่าไม่แพงครับ สมเหตุสมผลกับขนาดความจุที่</p><p>มากถึง 64GB คุ้มค่าเลยทีเดียว สุดท้ายนี้รองรับระบบปฏิบัติการ </p><p>Windows Vista, Windows XP และ Windows 2000 </p><p>(แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับ Windows ReadyBoost ครับ) </p><p>รวมทั้ง Mac OSX 10.3 และ Linux 2.6 นอกจากนี้ยังมาพร้อม</p><p>การรับประกันที่ยาวนานถึง 5 ปีเต็ม<br /></p><p>ข้อมูลจำเพาะของ Kingston DataTraveler 150 + ความจุสูงสุด 64GB + </p><p>ขนาด กว้าง 77.9 มม. x ยาว 22 มม. x สูง 12.05 มม. + </p><p>อุณภูมิในการทำงาน 32º ถึง 140 องศาฟาเรนไฮต์ </p><p>(0 ถึง 60 องศาเซลเซียส) + อุณภูมิในการเก็บข้อมูล -4º ถึง </p><p>185 องศาฟาเรนไฮต์ (-20 ถึง 85 องศาเซลเซียส) + ใช้งานง่าย </p><p>สะดวกสบาย ใช้ได้ทันทีเพียงเสียบเข้ากับพอร์ต USB+ พกพาสะดวก </p><p>ด้วยขนาดกะทัดรัด ที่พกใส่กระเป๋าได้ + รับประกันนาน 5 ปีเต็ม+ </p><p>ราคาโดยประมาณ 6,200 บาท<br /></p><p>ข้อดี+ สีสัน สะดุดตา สวยงาม เอกลักษณ์เฉพาะจาก Kingston+ </p><p>ความจุขนาดใหญ่ 64GB ที่เก็บข้อมูลได้อย่างจุใจ+ รูปแบบกะทัดรัด </p><p>จับง่าย พกพาสะดวก+ ใช้ง่าย เพียงเชื่อมต่อก็ใช้งานได้ทันที </p><p>ด้วยพอร์ต USB ข้อสังเกต+ ราคาขณะเปิดตัว จะอยู่ที่ประมาณ </p><p>6,200 บาท+ ไม่รองรับฟังก์ชั่น Windows ReadyBoost</p><p> </p><p> </p><p>ข้อคิดส่วนตัวครับ</p><p>แฟลชไดรฟ์แบบเก่าความจุน้อยแต่เร็วกว่า แบบ64G อยู่ประมาณ 12 เท่า</p><p>แต่แบบ 64G ส่งข้อมูลได้มากกว่า 3 เท่า.....อันนี้ก็ต้อง มานั่งคิดกันล่ะครับ</p><p>ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน จะเลือกส่งทีละน้อยๆแต่เร็วจี๊ดๆ</p><p>หรืออยากได้ ส่งช้าๆ แต่ได้ทีละเยอะๆ..บางทีอาจจะมองที่การใช้งานด้วย</p><p>ล่ะครับ...ในราคาเปิดตัว 6 พันกว่าบาท.......................มันเท่ครับ...</p><p>แต่จะเอาคุ้มผมว่า Ex. HDD คุ้มกว่าเยอะครับ....ถ้ากลัวจะหนัก</p><p>ใช้ขนาด 2.5นิ้ว ความจุ 160 G 2.5นิ้ว ตอนนี้ 2200 บาทเอง</p><p>ถ้าเลือกยี่ห้อ ก็ +- 250 บาทเอง ส่วนตัว BOX Ex. ก็มีให้เลือกตั้งแต่ </p><p>ราคา200- 1000 กว่าๆขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นการใช้งาน</p><p>บางตัวก็มีพอร์ทเล่น ไฟล์ วีดีโอ MP3 แล้วต่ออก TV หรือ</p><p>เครื่องเล่นอื่นๆ ผมว่าคุ้มกว่าครับ</p><p> </p><p> </p><p> ขอบคุณข้อมูลจาดเวป i3.in.th</p>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-65449758664978560592009-01-16T15:10:00.000-08:002009-01-16T15:15:17.217-08:00ประกาศจากทางเวป<span style="font-size:130%;">ขอประกาศเกี่ยวกับ Blog ซักนิดนะครับ</span><br /><span style="font-size:130%;">ขอเลื่อนวันขายสินค้า ออกไปถึงวันที่ 27 กพ. 2009 นี้นะครับ</span><br /><span style="font-size:130%;">เนื่องมากจากว่า...เศรษกิจไม่ดี</span><br /><span style="font-size:130%;">ทำให้การเดินงานติดต่อกับ ดีลเลอร์</span><br /><span style="font-size:130%;">เป็นไปด้วยความล่าช้า.....ต้องขออภัย ณ ที่นี้</span><br /><span style="font-size:130%;">แต่ยังไง ความรู้ใหม่ๆก็จะยังเอามาอัพเดทเรื่อยๆครับ</span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;">มีMusic VDO มาให้ดูคลายเหงาด้วย</span><br /><span style="font-size:130%;">อยากดูอะไรก็โพสต์มาได้นะ จะหามาให้ดู</span><br /><span style="font-size:130%;">ถ้าอยากดูเองก็ </span><a href="http://www.youtube.com/"><span style="font-size:130%;">www.youtube.com</span></a><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;">อยากให้แนะนำ Blog กันต่อๆไปครับ</span><br /><span style="font-size:130%;">มีคนติดตาม Blog มาคนนึง รู้สึกดียังไงไม่ถูก</span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"></span>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-17380002386487876772009-01-16T13:52:00.000-08:002009-01-16T14:33:01.894-08:00การ์ดจอรุ่นใหม่ แรงเทพหรือหลอกขาย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVsL4eK8zpfNptfGhk2n_C_sZWHDd8WpUwopgw4wBWO4S9tzD0IY6nNn5DyiXHLyrWuRVTePnypcJaoNlJUkwT_gcEYnOwu-9eAtt5GtoYQynW8DS81f__yWpFg_GK4vm17XiuEanjw78/s1600-h/MSI_GeForce_9600_GT_OC_1GB_01.jpg"><span style="font-size:130%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5292018468902010610" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 175px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVsL4eK8zpfNptfGhk2n_C_sZWHDd8WpUwopgw4wBWO4S9tzD0IY6nNn5DyiXHLyrWuRVTePnypcJaoNlJUkwT_gcEYnOwu-9eAtt5GtoYQynW8DS81f__yWpFg_GK4vm17XiuEanjw78/s320/MSI_GeForce_9600_GT_OC_1GB_01.jpg" border="0" /></span></a><span style="font-size:130%;"><br /></span><strong><em><strong><strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">ก่อนเราจะซื้อการ์ดจอควรนึกถึงอะไรบ้าง<br />แล้วอะไรที่มือใหม่มักจะ หลงกลคนขาย<br />แล้วอะไรที่ผู้ผลิตพยายามทำให้ สินค้าสามารถขึ้นราคา<br />แล้วแข่งกันกับคู่แข่งได้ วันนี้เรามาดูการเลือกซื้อการ์ดจอกันครับ<br />ต่อจากภาค 2<br />ถ้าไล่ลำดับมาจากเรื่องการ์ดจอ บทความแรก จะเข้าใจ<br />ได้ละเอียดนะครับ<br /><br /><br /><br /><br />****Interface(อินเตอร์เฟซ)<br />ก่อนจะหามาใช้งานเราต้องดูกันก่อนว่าเราอยากได้ การ์ด แบบใดเพื่อให้เข้ากับเมนบอร์ดเรา<br />ปัจจุบันมีเหลือเพียง 2 แบบเท่านั้นคือ PCI-Xpress 16x และ AGP 8x ซึ่ง<br />การ์ดแบบ AGP กำลังจะหายไปแล้วเนื่องจากความเร็วต่ำ จะเหลือก็เพียงเอาไว้อัพเกรด<br />คอมพ์รุ่นเก่าเท่านั้น ในคอมรุ่นใหม่ๆที่ออกมาปัจจุบันจะเป็น<br />สล็อตแบบ PCI-Express 16x กันหมดแล้วไม่มี slot AGP<br />มาให้ใช้งานกันอีกต่อไป ในส่วนของไฟเลี้ยงตัว<br />การ์ดหากเป็นรุ่นเก่าๆหน่อย หรือการ์ดใหม่รุ่นเล็กๆ จะใช้ไฟเลี้ยง<br />จาก Slot PCI เอง แต่หากเป็นการ์ดที่ต้องการไฟเลี้ยงเพิ่มจะมีช่องไฟเลี้ยง<br />เพิ่มเติมเข้ามา ส่วนมากจะเป็นหัว Molex แบบ 4 Pin และ 6 Pin<br /><br />****AGP Interface<br />อินเตอร์เฟซ แบบ AGP นั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ<br />คือ AGP รุ่นแรก AGP 4x , AGP 8x ซึ่ง<br />AGP เวอร์ชั่นแรกนั้นมีความเร็วที่ 266 MB/Sec<br />หมายความว่า AGP 8x มีความเร็วเท่ากับ2.1 GB/Sec<br />Slot ของ การ์ด AGP 8x และ 4x ใช้ร่วมกันได้แต่ แบบรุ่นแรกใช้ร่วมกันไม่ได้ครับ<br />จุดสำคัญอีกอย่างที่ถือว่าเป็นข้อด้วยของการ์ดแบบ AGP เลยก็คือ<br />ความเร็วของการเชื่อมไม่ผกผันตามบัสของระบบ<br /><br />****PCI Express Interface<br />สุดยอดอินเตอร์เฟซ ที่โคตรได้รับความนิยมในขณะนี้ PCI Express<br />Slot มี 240 Pinไอ้ที่เราใช้ๆการ์ดกันอยู่ทุกวันนี้ก็ PCI Expressกันทั้งนั้นอ้ะแหละ<br />ในเวอร์ชั่น 1.1 1xจะมีแบนด์วิดธ์เท่ากับ 250 MB/Sec<br />เกือบลืมไปนะว่ามันเอา PCI Express เวอร์ชั่น 2.0 ออกมาขายกันเกลื่อนไปแล้ว<br />และแบนด์วิดธ์ ของเวอร์ชั่น 2.0มีความเร็วเป็น2เท่า ของPCI Express 1.1<br />คือเท่ากับ 500 MB/Sec แล้วเรามาลองคิดดูว่าแบนด์วิดธ์ของ<br />PCI Express1.1 16xนั้นเท่ากับ 4GB/Sec<br />และใน PCI Express 2.0 16x เท่ากับ 8 GB/Sec<br />จากการติดตามข่าวของการ์ดจอมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ PCI Express 3.0<br />จะออกมาวางตลาอทันในช่วง ปี ค.ศ 2010 ซึ่งแบนด์วิธ์ 1x จะได้<br />เท่ากับ 1 GB/Sec และหากมันเป็น PCI Express 3.0 16x<br />แบนด์วิธ์ที่ได้จะเท่ากับ 16 GB/Sec 2เท่าของ เวอร์ชั่น 2.0 เลยนะเออ !<br /><br />****การระบายความร้อนของตัวการ์ด<br />ปัจจุบัน GPU เองก็ร้อนมากขึ้นเช่นกันเนื่องมาจากการใส่ คาปาซิสเตอร์ เข้าไปจำนวนมาก<br />เพื่อประสิทธิภาพการประมวลผลที่ยอดเยี่ยมดังนั้นจึงต้องการการระบายความร้อนออกจาก<br />ตัวกร์ดโดยเร็ว โดยการระบายความร้อนมีให้เลือกระหว่าง ฮีตซิงค์พัดลมกับฮีตไปป์<br />การระบายความร้อนแบบฮีตซิงค์พัดลมจะระบายความร้อนได้ค่อนข้างไว แต่อาจจะมีเสียง<br />รบกวนอยู่บ้าง แต่แบบฮีตไปป์จะเงียบแต่การระบายความร้อนยังเป็นรองแบบแรกอยู่นิดๆ<br /><br />****Hyper Memory / Turbo Cache<br />หลายๆท่านอาจจะคุ้นๆกันมาบ้างแล้วนะครับ บางท่านอาจจะมีข้องสงสัยว่าเอ..<br />แล้วมันเป็นอย่างไร อันไหนจะดีกว่ากัน อันที่จริงแล้วไอ้ตัวระบบ<br />Hyper Memory / Turbo Cache เนี่ยมันก็คืออย่างเดียวกัน<br />สาเหตุมันมีอยู่ว่าทาง ATI เรียกระบบแบบนี้ว่า Hyper Memory<br />ส่วนทางNvidia เรียกว่า Turbo Cache มันจะมีมาให้ในการ์ดราคาประหยัด<br />ซึ่งตัวการ์ดจะมีแรมบนการ์ดมาให้ค่อนข้างต่ำ เช่น 64 MB<br />128 MB 256 MB ตัวการ์ดจังพ่วงระบบ Hyper Memory / Turbo Cache มาให้<br />ซึ่งหน้าที่ของมันคือจะดึง เอาแรมของเครื่องมาใช้ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็ดูเอาข้างกล่อง<br />หรือเปิดค้นหาข้อมูลที่ผู้ผลิตก็ได้ครับ ว่าแชร์แรมเครื่องมามากแค่ไหน<br />บางท่านอาจจไม่รู้ว่าไอ้ระบบนี้บางทีมันก็หลอกเราเพราะว่าบางคน<br />ไม่เข้าใจเห็นว่ามีระบบ Hyper Memory / Turbo Cache 1024 MB (1GB)<br />โห..ตาโตครับพี่น้อง เลยซื้อมา เอาครับ โดนหลอกไปเต็มๆเหมือนน้องคนนึง<br />เขามาโม้ให้ผมฟังว่าการ์ดเขามีแรม 1 GB เศร้าน่ะ<br /><br />****SLI / CrossFire<br />ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ SLI / CrossFire กล่าวคือ<br />มันเป็นระบบต่อการ์ดจอ 2 ตัวครับ(ตอนนี้มีต่อ3กับ4ตัวแล้วนะ อิอิ)<br />แต่ก็เอาเถอะน่าอย่างเราๆ 2 การ์ด ก็เอาให้คุ้มกันก่อนนะ ทางฝั่งของ<br />ATI เรียกว่า CrossFire Nvidia เรียกว่า SLI ทั้งนี้เวลาเลือกซื้อหรือจะเอามาอัพเกรด<br />ควรดูด้วยว่า เมนบอร์ดของท่านรองรับหรือไม่ สิ่งสำคัญที่บอร์ดต้องมีก็คือ<br />Slot PCI-Express16x 2 Slot(ในรุ่นปัจจุบันนะเพราะมันใช้การ์ด PCI กัน<br />หมดบ้านหมดเมืองกันแล้ว)และชิปเซ็ทต้องรองรับด้วยเช่นกัน<br />(ถ้ากล่องมันเขียนว่ารองรับ SLI / CrossFireยังไงก็ใช้ได้)<br />การใช้งานก็ง่ายๆแค่ต่อสาย(Bridge)ระหว่างการ์ด 2 ตัวเข้าด้วยกัน</span></strong></strong></strong></em></strong>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-85456830442263033852008-12-30T12:11:00.000-08:002008-12-30T12:30:51.468-08:00Radeon HD 4870ชนะทุกการทดสอบกับGeforce 9800GTX<div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5285680454935639938" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 288px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8IrRrttE2jZuCLuSDrCf2QtYnWkEbHoH6MoJBNAWH0zlZWX2zQ3TTBzAXpBFOX8rdrqwxtiLjwmREem6PkypNF6wRbZBYQxFFuRMoD41tC-F2LiPg1yfDf0TPiQXaLYvp4Z-YvJ8hn00/s320/n00125_powercolor_hd_4870_x2_1.jpg" border="0" /><br /><br /><div><div><div>ในที่สุด การ์ดจอของทาง ATI ก็ได้เปิดตัวผลงานชิ้นใหม่ ชื่อ HD 4870 ซึ่งประสิทธิภาพเหนือกว่า 9800 GTX ของทาง Gefroce ในทุก ๆ อย่าง คราวนี้ ATI ใช้ GPU RV770 ซึ่งสามารถโดยเทคโนโลยี ขนาด 55 นาโนเมตร และจุ Trasistors จำนวน 965 ล้านตัวเข้าไป อีกทั้งยัง support GDDR5 ด้วย<br /><br /><div> ยังมีส่วนหนึ่งที่เป็นที่สับสนว่า ในรุ่น 4800 ซึ่งน่าจะใส่ GDDR5 ให้กับ Radeon HD 4850 และRadeon HD 4870 แต่ทางOfficially ของทาง Qimonda ได้ใส่ลงในเฉพาะ Radeon HD 4870 ด้านความเร็วของ DDR5 memory อยู่ที่ความเร็ว 900 MHz ส่วนแกนหลัก GPU มีความเร็ว 750MHz และมีชิบ 64Mbyte 1 ชิบ ซึ่งมีช่องทางส่งข้อมูล 32 line ทำให้อัตราการส่งข้อมูลเป็น 32*900MHz ได้เป็น 26.8 Gigabits/sec of commands </div><br /><div> การ์ดจอ Radeon HD 4870 ได้ผลประโยชน์จาก Dual Data Rate techtology ส่งผลให้มีความเร็วอยู่ที่ 107.2Gigabytes/sec แต่ในส่วนของ Radeon HD 4850 ซึ่งใช้ GDDR3 มีความเร็วอยู่ที่ 63.6 GB/sec<br />ด้านราคา Sapphire HD 4870 512MB จะมีราคาประมาณ 229-249 ยูโร</div><br /><div>จากการทดสอบด้วยสเปกเครื่องดังนี้<br /></div><div>Motherboard:EVGA 680i SLI (Provided by <a title="EVGA product page" href="http://evga.com/" target="_blank">EVGA</a>)</div><div>Processor:Intel Core 2 Duo 6800 Extreme edition (Provided by <a href="http://www.intel.com/products/processor/core2XE/index.htm" target="_blank">Intel</a>)</div><div>Memory:OCZ FlexXLC PC2 9200 5-5-5-18 (Provided by <a href="http://www.ocztechnology.com/products/ddr2/reaper_hpc_series" target="_blank">OCZ</a>) during testing CL5-5-5-15-CR2T 1066MHz at 2.2V </div><div>PSU:OCZ Silencer 750 Quad Black (Provided by <a href="http://www.ocztechnology.com/products/power_management/" target="_blank">OC</a><a href="http://www.ocztechnology.com/products/power_management/" target="_blank">Z</a>)</div><div>Hard disk:Seagate Barracuda 7200.9 80GB SATA (Provided by <a href="http://www.seagate.com/" target="_blank">Seagate</a>)</div><div>CPU-Cooler:Freezer 7 Pro (Provided by <a href="http://www.arctic-cooling.com/cpu2.php?idx=79&data=1&disc=" target="_blank">Artic Cooling</a>)</div><div>Case Fans:Artic Cooling - Artic Fan 12 PWM Artic Cooling - Artic Fan 8 PWM </div><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPXoxFiqEy6pKE9HrQmA-OLn0ogOrc78yfi6exy6syWrhS-Zp2qc6ezOQM0Mn2i8bwRJwRgv35tGjwHRckMlJIJnSatXg_4M2ULmu368PFSV8CDgtngYyKVp4J9ZHsw5kXe0DqqMHJr5c/s1600-h/mark_4870.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5285681160448141970" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 294px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPXoxFiqEy6pKE9HrQmA-OLn0ogOrc78yfi6exy6syWrhS-Zp2qc6ezOQM0Mn2i8bwRJwRgv35tGjwHRckMlJIJnSatXg_4M2ULmu368PFSV8CDgtngYyKVp4J9ZHsw5kXe0DqqMHJr5c/s400/mark_4870.gif" border="0" /></a><br /><br /><br /><div></div><br /><br /><br /><br /><br /><div></div><br /><br /><br /><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPT0SEnmaBgfXwPhhOBoNggTEAG4mfQ3lrBtUJ08qm1eOFNmU62UvL4Mkv5YECglxMJ8jM9xw1XVSnERCNKXb-vZN_bVtrBhE16UWICAtbTRo8IUxswrIBJZuVz-cOFMUS_DTEb6eeQ5A/s1600-h/fear_4870666+.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5285681871513287682" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 392px; CURSOR: hand; HEIGHT: 490px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPT0SEnmaBgfXwPhhOBoNggTEAG4mfQ3lrBtUJ08qm1eOFNmU62UvL4Mkv5YECglxMJ8jM9xw1XVSnERCNKXb-vZN_bVtrBhE16UWICAtbTRo8IUxswrIBJZuVz-cOFMUS_DTEb6eeQ5A/s400/fear_4870666+.gif" border="0" /></a><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiT9agNLr_87pHm_BocI9viDnHDSlZX41UaX7swRJkmcm5z0uYlBgyWczM8yUnOpmMynsFv3WLlkIpZWQS1OoKRjbTRXXd0m27dPVxZTVnwaLTNnWqWz80-mty2YjSpHihwCktFJ9NJW6E/s1600-h/fear_4870666+.gif"></a><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div>Radeon HD 4870 ชนะ Geforce 9800GTX ทุกการทดสอบ และ Radeon HD 4870 เร็วกว่า การ์ดจอของ ATI รุ่น3870*2 card ด้วย อีกทั้ง Radeon HD 4870 แสดงผลได้เร็วกว่า Radeon HD 4850 ถึง 20% แต่ถึงแม้จะแพ้ GTX 280 และ 9800 GX2 ของทาง nVidia แล้ว หากเรามาพิจารณาถึงราคาจะพบว่า ราคา GTX 280 สามารถซื้อ Radeon HD 4870 ได้ถึง 2 card เลยล่ะครับท่าน<br />อ้างอิงจาก <a href="http://www.fudzilla.com/">http://www.fudzilla.com/</a> </div><div> </div><div>****ส่วนสุดยอดการ์ดเทพของ Nvidia GTX 280 ถูกโค่นลงอย่างราบคาบครับแทบทุการทดสอบเลย</div><div>ด้วย HD 4870 x2 ของ ATI ผมอ่านพรีวิวเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวเอามาพรีวิวให้เพื่อนๆดูครับ</div></div></div></div></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-60577164861143089262008-12-28T12:31:00.000-08:002008-12-28T12:46:33.064-08:00ต้อนรับปีใหม่กับ USB 3.0<div><br /><br /><div> ยักษ์ใหญ่ไอทีบรรลุข้อกำหนดขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับสเปค ยูเอสบีเจเนอเรชั่นใหม่แล้ว เร็วกว่าเดิม 10 เท่าตัว กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด เอที-เอ็นเอ็กซ์พี ไวร์เลส อินเทล ไมโครซอฟท์ เท็กซัส อินสตรูเมนส์ และเอ็นอีซี ร่วมกันตั้งกลุ่มที่เรียกว่า USB Promoter Group เพื่อกำหนดสเปคของยูเอสบี 3.0 ผ่านไปสามปี ในที่สุดกลุ่มตกลงสเปคกันได้แล้ว หลังจากนี้บรรดาผู้พัฒนาอุปกรณ์ทั้งหมดจะใช้เป็นแนวทางสำหรับพัฒนาเทคโนโลยียูเอสบี 3.0 สู่ตลาดต่อไป โอกาสเดียวกันนี้ทางกลุ่มยังเชื้อเชิญให้นักพัฒนาโปรแกรมมาอ่านสเปค และนำไปใช้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5284944339910486386" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 258px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJj08TVszz7rBDznNBT0j1VkLw6SVb4ENBkLcgUpqADzPtvj7TuSbzh41ShsSrmzHDuLmI5Y3KYv2DO1lP-x9MFgej4qE5nJkcJRqFUf249oBpZk3nNF1QHI7OrnNebZJlLppicFwHkjI/s320/USB_3_0_socket_01.jpg" border="0" /> ยูเอสบี 3.0 ซูเปอร์สปีดจะมีความเร็วรับส่งข้อมูลสูงกว่ายูเอสบี 2.0 สิบเท่า เมื่อยูเอสบี 3.0 ออกมาแล้วมันยังคงใช้งานร่วมกับเทคโนโลยียูเอสบี 2.0 ได้อยู่ และจากการทดลองโอนไฟล์สามารถโอนไฟล์ภาพยนตร์คมชัดระดับ HD ขนาด 25 กิกะไบต์ได้ในเวลา 70 วินาที ซึ่งถ้าเป็นเทคโนโลยี 2.0 ต้องใช้เวลาราว 14 นาทีถึงจะส่งครบ ยูเอสบี 3.0 ออกมารองรับความต้องการใช้งานข้อมูลขนาดใหญ่ และคาดว่าจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จำพวก ฮาร์ดดิสก์ภายนอก แฟลชไดร์ฟ และอื่นๆ ภายในปี 2553 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า </div><div> อย่างไรก็ดี ไมโครซอฟท์ยังคงสงวนท่าทีอยู่ว่า วินโดวส์ 7.0 จะรองรับการรับส่งข้อมูลของยูเอสบี 3.0 เลยหรือเปล่า แต่กำลังพิจารณาปรับปรุงวินโดวส์ วิสต้าให้ใช้ยูเอสบีตัวใหม่ได้ด้วย แต่.....อย่าลืมว่าความเร็วที่อ้างว่าปรูดปร๊าดของยูเอสบี 3.0 นั้น เป็นเพียงผลการทดสอบในห้องแล็บเท่านั้น ความเร็วเมื่อใช้งานจริงยังมีปัจจัยอื่นมาฉุดรั้งด้วย อย่าลืมครับยกตัวอย่างที่ แลป อ้างมาว่า</div><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC0fln-xHjugl5oodKVoAWCYCfvA5g8bPbKt26kDljH0F_4WLYqGkwU7FZSGLbeny19DKU2ptrTcJBrUfhmj1O_Ei1VInvBlqXAPCXzgrPHUttAl_PxwMg0wPdSMMEmdYfWsh_ValOq1Y/s1600-h/usb_3_.0.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5284944735177241154" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 266px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC0fln-xHjugl5oodKVoAWCYCfvA5g8bPbKt26kDljH0F_4WLYqGkwU7FZSGLbeny19DKU2ptrTcJBrUfhmj1O_Ei1VInvBlqXAPCXzgrPHUttAl_PxwMg0wPdSMMEmdYfWsh_ValOq1Y/s320/usb_3_.0.jpg" border="0" /></a><br /><div> </div><div>USB 2.0 โอน ไฟล์ขนาด 25 GB ภายใน14 นาทีนั่นในแลปนะ ลองบ้านเราเถอะ โอนเกมส์ไรก้อได้สัก6 GB</div><div>รับรองว่ารอกันเป็นชั่วโมง....แต่ก็นะยังไง มันก็เร็วกว่าเดิมแหละน่า</div><div>...เกือบลืมบอกไป หัว USB 3.0 มันไม่เหมือนกับ USB 2.0 แต่มันใช้ร่วมกันได้ เขาว่ามายังงั้นนะได้ไม่ได้ก็เอารูปไปดูกัน ผมว่ามันถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกันได้ทั้ง 2 เวอร์ชั่น</div></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-65050183638433633112008-12-28T12:26:00.000-08:002008-12-28T12:30:25.337-08:00เด็กเก้าขวบคว้า Microsoft Certified<div><span style="font-size:130%;">เด็กหญิงชาวอินเดียนาม M. Lavinashree สามารถสอบผ่าน Microsoft Certified Professional หรือ MCP ด้วยวัยเพียง 9 ขวบ กลายเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่ได้รับใบประกาศนี้ แซงหน้าเด็กหญิงชาวปากีสถานวัย 10 ขวบที่ได้รับไปก่อนหน้า โดยเธอได้รับคะแนนถึง 842 จากคะแนนเต็ม 1000 คะแนน ซึ่งน้องคนนี้เคยสร้างสถิติมาก่อนหน้าด้วยการท่องกลอนความยาว 1,300 โครงด้วยภาษาทมิฬเมื่อวัยเพียง 3 ขวบ </span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5284940790588383458" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 272px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpWNT2LNb_OVl9O6mgGg_qPVRqYB4xPUJaqtI5tB91-E2GvaQe8H_dzbTzZ05eQPiR2jkgAm7i_LqNfHZSZbdKdLYhHEhVpVwrwOWq3n2XdTRva34bozKZ9NkfFhaindVzqCMdiZW-Nwk/s320/9+%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%9A.jpg" border="0" /><br /><div><span style="font-size:130%;">ในแต่ละวันเธอจะตื่นตอนหกโมงครึ่ง และใช้เวลาในการเรียนคอมพิวเตอร์ประมาณสองชั่วโมง เธอเข้าเรียนคอสมัลติมีเดียนานหนึ่งปีเมื่อตอนชั้น Std. II ทำให้เธอเก่งในด้านอนิเมชั่น โปรแกรม Corel Draw, Photoshop, Illustrator, Flash, Dream Weaver และการออกแบบเว็บ นอกจากนี้พ่อของเธอวางแผนที่จะให้เข้าทดสอบ Microsoft Certified Systems Engineer และ Microsoft Certified Systems Administrator อีกด้วย</span></div><div><span style="font-size:130%;">***ขอบคุณข้อมูลจาก Technology.thaiza.com</span></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-44347820612522774892008-12-24T05:56:00.000-08:002008-12-24T06:05:20.847-08:00การ์ดจอยุค DirectX 10<div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3-CAJscX_XDtWEyaLJAx-S-e72BPFpn8_FsknqFnMCKTzrvLGqUm-0PEzwWLKSZo7f7VIpoFWvxtB03bPCNwVFG3aP89q6_64b8e14uqhh71WxGJ2-JPRScoQripmG4NtEJY7_6skg-4/s1600-h/i1828_directx10.jpg"><strong><span style="font-size:130%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5283356413190320434" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3-CAJscX_XDtWEyaLJAx-S-e72BPFpn8_FsknqFnMCKTzrvLGqUm-0PEzwWLKSZo7f7VIpoFWvxtB03bPCNwVFG3aP89q6_64b8e14uqhh71WxGJ2-JPRScoQripmG4NtEJY7_6skg-4/s200/i1828_directx10.jpg" border="0" /></span></strong></a><strong><span style="font-size:130%;"><br /></span></strong><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">ปัจจุบันนี้ผู้ผลิตการ์ดจอเหลือแค่เพียง 2 ค่ายใหญ่เท่านั้นคือ ATI และ Nvidia แต่ว่าการ์ดจอที่เข็นกันออกมาขายมากมายเหลือเกิน ประกอบกับ<span style="font-family:verdana;">เทคโนโลยี</span>ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันทำให้อะไรๆที่แน่นอนก็ไม่แน่นอนอะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปแล้ว พลาดเพียงนิดเดียวก็อาจจะกลายเป็นว่าตามไม่ทันแล้วมานั่งงงทีหลังว่ามันคืออะไร??วันนี้จะมาดูการ์ดยุคใหม่ที่สนับสนุน API ยุคถัดไปนั่นคือ DirectX 10</span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">****DirectX 10 ของการ์ดยุคใหม่จุดสำคัญของ DirectX 10 คือการใช้ Texture Arrey ที่ทำให้ผู้พัฒนาเกมส์ใส่ Texture เข้ามาได้มหาศาลกล่าวคือหากเป็น DirectX 9 นั้นตัวการ์ดจะแยกการประมวลผล2ตัวคือ Pixel Shader ,Vertex Shaderจะทำงานแยกกัน แต่ในDirectX 10 จะเปลี่ยนแปลง Pixel Shader ,Vertex Shader โดยปรับโคงสร้างใหม่ให้มาทำงานประมวลผมพร้อมกันในรอบสัญญาณนาฬิกาเดียวเรียกโครงสร้างใหม่นี้ว่าStream Processor (ติดตามรายระเอียด Stream Processor ใน หัวเรื่องเจาะลึกระบบต่างๆของการ์ดจอในบทความที่แล้วนะครับ อ่านก่อนแล้วจะเข้าใจนะจ๊ะ)<br /></span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">****Stream ProcessorStream Processor ของ ATI และ Nvidia <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmWuBdjTuXOxHEYJCukw4R1HMwOiVDLDPRuQrhhlk_on3FQ4V-gDbjbk1jV53KGIskuJLhW5AcG3VwXg0RqrzcFDNKVGqBIOpuvb3VZ_O0Hw760_OP4SmYrlDuScpt5R7asvPQk3Jk86o/s1600-h/GTX+280.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5283357006925656322" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmWuBdjTuXOxHEYJCukw4R1HMwOiVDLDPRuQrhhlk_on3FQ4V-gDbjbk1jV53KGIskuJLhW5AcG3VwXg0RqrzcFDNKVGqBIOpuvb3VZ_O0Hw760_OP4SmYrlDuScpt5R7asvPQk3Jk86o/s200/GTX+280.jpg" border="0" /></a>แม้จะมีการหน้าที่เหมือนกันแต่การทำงานนั้นจะว่าเหมือนก็ใช่จะว่าต่างก็นิดๆ แต่โครงสร้างภายใน Stream Processor กลับทำไม่เหมือนกันโดย ATI จะมีการเกาะกลุ่มทำงาน ในกลุ่มหนึ่งจะมี Stream Processor แต่ตัวที่ประมวลผลหลักจริงมีแค่ตัวเดียวนั่นหมายความว่า ใน ATI HD2900 XT ที่มี Stream Processor 320 ตัวมีตัวประมวลผลหลักแค่ 64 ตัวซึ่งต่างกับ Nvidia ที่มี Stream Processor ประมวลผล 1:1 หมายว่าว่า Nvidia GF 8800 GTX มี Stream Processor 128 ตัว แต่สามารถทำงานได้เต็มที่ทั้งหมด 128 ตัว นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมการ์ดของ Nvidia Stream Processor น้อยกว่าการ์ดของ ATI แต่ทำไมถึงแรงกว่า<br /></span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">****Stream Processor ทั้ง 2 ค่ายเหมาะกับงานที่ต่างกันกล่าวคือในเกมส์ที่ออกมาสู้ตลาดนั้นดูจะเหมาะกับ Nvidiaมากกว่าเพราะการเขียนที่ง่ายผลที่ออกมาก็ได้คุณภาพที่สูงจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Nvidia เหนือกว่า ทางการ์ดของATI เหมาะกับการประมวลผลที่สลับซับซ้อนมากๆ ซึ่งการเขียนเกมส์แบบนั้นมันใช้เวลานานและเขียนยาก ประสิทธิภาพที่ได้ก็ดีกว่าแบบแรกไม่มากนัก<br /></span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">****RAM หรือหน่วยความจำบนการ์ดหน่วยความจำเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ GPU (ชิปกราฟฟิค)เนื่องมาจากว่า GPU ความเร็วสูงต้องใช้ หน่วยความจำ (RAM) ความเร็วสูงเพื่อไม่ให้เป็นการเกิดคอขวดระหว่างกัน-ความเร็ว (หน่วย MHz)ในการประมวลผลGPU จะดึงข้อมูลจาด RAM ตลอดเวลาดังนั้นหากว่าตัวเร็วเองมีความเร็วสูงจะทำให้การดึงข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่เกิดความล่าช้า-ความจุ(หน่วย MB) ในการประวลผล RAM จะเก็บ Texture ไว้เป็นจำนวนมากหากว่า RAM น้อยกว่าจำนวนTexture จะทำให้จำนวน Texture ที่เกินรอปรอบการประมวลผลในรอบถัดไปเกิดความล่าช้าขึ้นทำให้ความเร็วการประมวลผลตกครับ-จำนวนบิท(หน่วย bit) หมายถึงจำนวนช่องทางการรับ-ส่งข้อมูลของหน่วยความจำบนชิปการฟฟิคซึ่งถูกควบคุมโดย Memory Controller ยิ่งbitสูงยิ่งทำให้การรับส่งข้อมูล Texture ระหว่าง RAMกับ GPU ราบรื่นมากขึ้นครับ-ชนิดหน่วยความจำ หน่วยความจำของการ์ดจอจะเรียกเป็น GDDR ปัจจุบันที่เราใช้กันอยู่คงหนีไม่พ้นหน่วยความจำแบบ GDDR2 เป็นมาตรฐานไปแล้วและหน่วยความจำแบบ GDDR3ก็เข้ามีมีบทบาทมากเช่นกันแต่จะติดตั้งในการ์ดจอ ระดับกลางขึ้นไป ซึ่งราคาค่าตัวก็ อยู่ราวๆครึ่งหมื่นขึ้นไป ส่วนการ์ดตัวใหม่ล่าสุดจาก ATI ใน HD ซีรี่ส์ 4 นั้น ตัว TOPหันไปใช้ หน่วยความจำแบบ GDDR5 ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวกระโดดของ ATI เลยก็ว่าได้ครับสรุปชนิดของหน่วยความจำนั่นหมายถึงอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่ได้ในรอบสัญญาณนาฬิกา<br /></span></strong></div><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPX9DpaW0H2gQYetSbWdFh-QNPhhj4bDPWlLmg6CTLvK9HmKA4IxvOr6FLZ7_FuyxEkMw1hVGxey2mtm6OWZd_TAXS0gju5Q1mlopJhB90TRDY69iZylh4wReAuwNWpFCClan_nYFlpWg/s1600-h/02Radeon4870X2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5283357315303328594" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 142px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPX9DpaW0H2gQYetSbWdFh-QNPhhj4bDPWlLmg6CTLvK9HmKA4IxvOr6FLZ7_FuyxEkMw1hVGxey2mtm6OWZd_TAXS0gju5Q1mlopJhB90TRDY69iZylh4wReAuwNWpFCClan_nYFlpWg/s200/02Radeon4870X2.jpg" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">***ข้อคิดเห็นก่อนจากกันโดยส่วนตัวครับผมว่าการเลือกซื้อการ์ดจอหลายๆท่านยังมีมุมมองที่เก่าอยู่บางคน(เพื่อนๆที่ทำงานด้วยกันนะครับ)บอกว่าเอาแรมเยอะๆยิ่งดี RAM ยิ่งเยอะยิ่งแรงบางท่านก็ดูที่ Speed Core/Mem ยิ่งมากยิ่งเร็ว มันก็ถูกนะครับแต่เอามาใช้กับการ์ดรุ่นใหม่ๆไม่ได้แล้วเนื่องจากโครงสร้างที่เปลี่ยนไปนั่นเอง ผมว่าดูที่การใช้งานมากกว่าครับแล้วเลือกที่เหมาะสมกับตัวเราและยังมีการ์ดอีกหลายๆรุ่นที่ผมคิดว่าชอบทำมาเหมือนหลอกผู้บริโภคอย่างการ์ดระดับล่างราคาพันต้นๆ ติดตั้งระบบ Turbo Cache Ram 1024 MB ใครที่ไม่รู้ก็โดนหลอกไป อันนี้ยิ่งซ้ำร้ายนะการ์ดราคา2พันต้นๆยัด RAM มาเน้นๆ 1 GB ไม่รู้ว่าจะยัดมาทำอะไรนักนาเอามาก็ใช้ไม่หมด ซึ่งการ์ดตัว RAM 1GB มันเป็นรุ่นพี่น้องกับที่ผมใช้ของผมมัน RAM 512 MB ที่เหลือเหมือนกันหมดกับรุ่น RAM 1 GB แต่ราคาต่างกันอยู่ 500 บาทในส่วนของส่วนอื่นๆก็เหมือนกันครับส่วนประกอบและโครงสร้างต่างๆของตัวการ์ดเองผมอยากให้มองว่าเลือกที่มันแมทช์กันให้มากที่สุด อยากให้แบ่งเป็น ระดับ 3 ระดับคือระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง คือเราควรใช้ระดับไหนแล้วการ์ดที่รองรับควรมีความสามารถประมาณไหนเช่นผมเนี่ยเล่นเกมส์กล่องอันนี้หลักๆเลย พวก NFS Couter Yuri Devilmaycryผมใช้ GF 8500 GT Inno3D 512MB DDR2 128-bit D-Sub S-Video DVI 16 Unifieldเหลือเฟือครับกับ CPU AMD 2 คอร์ 2.4 GHZ RAM DDR2 800 MHz 1G DualChanelไหลลื่นดีมาก NFS Carbon เปิดกราฟฟิคเต็มที่ไหลลื่นดีครับไม่มีกระตุกหรือภาพแตก หลักเลยเนี่ยถ้าเป็นผมนะผมจะมองที่ Stream Processor , ชิดแรมและ แบนวิดธ์(bit)สำหรับ bit เนี่ย ถ้าเล่นเกมส์ 128 bit ขึ้นไปRAM 512 MB เพียงพอครับอย่างอื่นถ้าไม่ต่างกันมากก็แทบไม่แตกต่างนะ(จากประสบการณ์การดูพรีวิวทดสอบประสิทธิภาพต่าง)บางทีรุ่นใหม่ออกมาความเร็ว Core/Mem เหนือกว่ารุ่นเก่าแต่ประสิทธิภาพตามหลัง เนื่องจาก Stream Processor ที่น้อยกว่าก็มีฟังธงลงเท้า....ถ้าคิดจะมองหาการ์ดใหม่ราคาถูกๆผมว่านะ ATI ซีรี่ 3 ขึ้นไป ถ้า Nvidia ก็ ซีรี่ 8 ขึ้นไป<br /></div></span></strong></div></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-61590664836980534042008-12-23T06:09:00.000-08:002008-12-23T06:17:27.314-08:00รู้ไหมว่าลงRAM 4 G แต่วินโดว์มองเห็นไม่เต็ม??<div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXQhQqzwv2BJ0GZAT7eraga6mirtoFyEq0jZxm5Qzm_elUq0v0B9X6EP0dHlZoW9WsKsDJEOCSSTLbEtOydjRpP-4Cf7XW5UlYQc_cLxIz1ERaUQ5MZ16JP-WRtcU3PT6YRXfIpwf_EbM/s1600-h/Hp-x2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5282988905770126850" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXQhQqzwv2BJ0GZAT7eraga6mirtoFyEq0jZxm5Qzm_elUq0v0B9X6EP0dHlZoW9WsKsDJEOCSSTLbEtOydjRpP-4Cf7XW5UlYQc_cLxIz1ERaUQ5MZ16JP-WRtcU3PT6YRXfIpwf_EbM/s200/Hp-x2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div>RAM (หน่วยความจำหลัก) เราว่าว่ากันเรื่อง RAM 4GB คุณคิดว่าใช้มันคุ้มแล้วหรือ ก่อนอื่นสังเกตุดูคอมตัวเองกันก่อนว่ามี RAM เท่าไหร่?? หลายท่านก็คงนึกออกแล้วใช่มั้ยครับ ทีนี้เนี่ย บางท่านอยากอัก RAM เยอะๆเครื่องมันจะได้ลื่นๆ มันก็ถูกส่วนหนึ่งครับแต่ว่ามันไม่ถูกไปซะทั้งหมด และอีกอย่างที่เครื่องมันไม่ลื่น เครื่องช้า เครื่องอืด คุณแน่ใจแล้วหรือว่ามันมาจาก RAM ?? อ้ะ ไม่ได้มาทำให้ไขว้เขวนะ...^_^" การเพิ่ม RAM มันก็ดีครับแต่ว่าต้องดูด้วยว่าเครื่องเราจะอัพเกรดได้มากแค่ไหน ดูเมนบอร์ด ก่อนเลยว่าใช้แรม แบบ ใด DDR รึ DDR2 ก็ว่ากันไปตาม Socket แล้วตัวบอร์ดรองรับได้กี่ GB รับRAM Bus เท่าไร Dual Chanel ได้มั้ย??ที่สำคัญที่จะกล่าวก็คือ ถ้าอัด RAM 4 GB แล้วคุณคิดว่าคุณจะใช้มันได้คุ้มหรือไม่หรือแม้กระทั่ง <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSTw6yW8pwJxM7SLHjtlkz2kZmJXRV3DLB0Wh2sunKLUQdqglb2NUt1IslzaKkFf8kvLJr8DnStGLmQpE9NqW4jjhGXx0b6z9YUoDs7vLr7iO7e1HY5uX643VSaXx4pTtB9btcOVpnw2w/s1600-h/xp.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5282989091849026402" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSTw6yW8pwJxM7SLHjtlkz2kZmJXRV3DLB0Wh2sunKLUQdqglb2NUt1IslzaKkFf8kvLJr8DnStGLmQpE9NqW4jjhGXx0b6z9YUoDs7vLr7iO7e1HY5uX643VSaXx4pTtB9btcOVpnw2w/s200/xp.png" border="0" /></a>Note Book ที่แพงราคา ครึ่งแสน ค่อนแสน (อันนี้ไม่ได้โม้นะ เรื่องจริงครับNotebook ตัวนึง ออกมอไซค์ได้คันหนึ่งแถมตังเหลือเอาไปแต่งได้อีกด้วย) คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนผมขอบอกเลยว่า ถ้าคิดจะใช้ RAM 4 GB ฟันธงว่าไม่คุ้มแน่ๆ เพราะว่า ตัว windows XP ทุกรุ่นทุกตัวมันมองเห็นแค่ 3.5 GB เท่านั้นเองถ้าไม่เก่งจริงๆคุณจะแก้ให้ วินโดว์มองเห็นRAM 4 GB นั้นยากมากครับหลายท่านที่ว่าเก่งๆก็เล่นเอาแย่เหมือนกันเพราะมันไม่ได้แก้ธรรมดาต้องอาศัยความรู้และฝีมือ อย่างมากๆ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นทำไม เมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ ทันโฆษณาจังว่ารับ RAM ได้ 8 GB , 16 GB ขอตอบว่าส่วนหนึ่งเขาทำมาเพื่อนคนส่วนน้อยครับและอีกอย่างคือโชว์พาวเวอร์ของว่าเจ๋งขนาดไหนจะได้ขายออก... ถ้าถามว่าวินโดว์มันมองเห็นแค่นั้นล่ะ ก็คือมันเป็นเพราะตัว วินโดว์ เองครับ Windows XPที่เราใช้ๆกันอยู่มันเป็นแบบ 32 bit มันมองเห็นเต็มที่ 3.5 GB ส่วนที่หายไปมันก็คือ ขาดทุนชาวบ้านตาดำอย่างพวกเราดูหนังฟังเพลง เล่นเกมส์ ต่อเน็ต 2 GB ก็เพียงพอ เหลือเฟือครับเครื่องผมใช่เล่นเกมส์ ยังใช้แค่ 1GB เอง(แต่ BUS 800 MHz 512 MB 2ตัวนะ ทำ Dual<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjehs_a1AUeK2ZHhyjtLrknwQv1VRewnba5IK-u9D9AjCawrICmaL41OJ4uUjtgoPek-L1xBX_f5YguKnG0CFQFeUAOiNaNc2ZFAUT5uyP6kI-3x068IFsr01ribauYqBo1K7k43vyO3s/s1600-h/XP-white.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5282989392808200018" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 146px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjehs_a1AUeK2ZHhyjtLrknwQv1VRewnba5IK-u9D9AjCawrICmaL41OJ4uUjtgoPek-L1xBX_f5YguKnG0CFQFeUAOiNaNc2ZFAUT5uyP6kI-3x068IFsr01ribauYqBo1K7k43vyO3s/s200/XP-white.png" border="0" /></a> Chanel)เหลือเฟือเลยครับเล่นปรี๊ดๆ สำหรับคนที่มีเงินถุงเงินถังอยากถอย Notebook สักตัวก็พิจารณาดีๆครับหลายๆรุ่นหลายยี่ห้อจะออกมาประสิทภาพไกล้เคียงกันแต่ราคาจะต่างกันค่อนข้างมาก บางรุ่นราคาต่างกันเกือบหมื่นเพิ่มแค่ความเร็ว CPU 1.8 GHz เป็น 2.0GHz เหมือนกับ RAM ยัด RAM มาให้ 4GB ขาย 69000แต่อีกรุ่นมี RAM ให้ 2 GB นอกนั้นเหมือนกันหมด แต่ขาย 55000 ถามว่าซื้อรุ่น 55000 แล้วไปซื้อ RAM เพิ่ม เองดีกว่ามั้ย ??(อันนี้ผมเทียบข้ามยี่ห้อนะครับคนละ Brand) สรุปก็คือ ถ้าคิดจะยัด RAM 4GB บนวินโดว์ XP ไม่คุ้มครับเพราะมันมองเห็นไม่เต็ม ซ้ำร้ายบางคนเห็นแค่ 3 GB ก็มี หากคิดจะใช้ RAM 4GB ให้หันไปใช้วินโดว์ แบบ 64 bit ซึ่งตอนนี้ก็มีแค่ Windows Vista บางรุ่นเท่านั้น (วินโดว์ วิสต้า มันมีรุ่น 32 บิท ด้วย) และ ระบบ LINUXแบบ 64 bit เท่นั้น แต่ถ้าใครมีงบประมาณมากพอจะอัด RAM 4 GB แล้วมองเห็นไม่เต็มก็ได้ครับคือ 3.5 GB กุก็เอา เดี๋ยวไปแก้ให้เห็น 4 GB ทีหลังก็เอาครับ RAM ราคามันถูกขนาดว่าซื้อมาขว้างหัวแมวแบบไม่ต้องลังเลเลย </div></div></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-66610798044538064122008-12-19T04:55:00.000-08:002008-12-19T05:35:04.333-08:00เจาะลึกเรื่องการ์ดจอที่คุณไม่เคยรู้มาถึงหัวใจการทำงานของตัวการ์ดแสดงผลกันล่ะครับ งานนี้เราจะพาไปเจาะลึกว่า รายละเอียดต่างที่ไม่ได้เขียนบอกไว้ข้างกล่อง และไอ้คนขายมันก็ขายอย่างเดียวพอถามลึกๆมันก็ตอบข้างๆคูๆและเชื่อว่าหลายๆท่านที่เคยอ่านบทความหรือเวปบอร์ดต่างๆที่ได้มีการพรีวิวการทดสอบตัวการ์ดจอเองเคยอ่านเจอหรือผ่านตามาแต่ไม่เข้าใจ ถามใครก็ไม่มีใครตอบ วันนี้เราจะมาเจาะลึกกับมัน และจะรวมไปถึงบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกันด้วยครับ<br /><br />****Pixel (Picture Element)Pixel(พิกเซล) คือจุดเล็กๆบนหน้าจอที่ประกอบกันออกมาเป็น<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBUszBcvMPWI9xJ8iNf6QehSTqkDjwG6LyDrrr3EZWUbx1LF5lnHaWa0Mvy_1Pk-TU3iV36uH02nuGd91qWiwCFTAdJvpxS0QvxshmjqmcnRAblztGds3FKspNVC05fcN9KC6TA6I-tfo/s1600-h/hd4850.bmp"></a>รูปร่างบนจอแสดงผลให้เราเห็นหากเราตั้งค่าการแสดงผลไว้ที่ 1280 x 1024 แสดงว่ามีการแบ่งตารางพิกเซลในด้านกว้าง1280 พิกเซล และ 1024พิกเซล ในแนวตั้ง ยิ่งตั้งค่าละเอียดเท่าไรภาพยิ่งมีคุณภาพที่ดีขึ้นแต่อย่าลืมว่าคอมพ์คุณสามารถรองรับความละเอียดระดับนั่นได้ด้วยนะ<br /><br /><br />****Refresh Rate (รีเฟรช เรท)การแสดงผลบนหน้าจอที่เรามองเห็นอยู่นั้น มันคือการนำภาพมาเลื่อนขึ้นลงอย่างต่อเนื่องอย่างรวดเร็วเพื่อให้เรามองเห็นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและสวยงาม ค่ารีเฟรชเรทปกตินั้น จะอยู่ที่ 75-80 Hz จะเป็นช่วงที่ดูแล้วสบายตาที่สุด แต่บางคนตั้งไว้ที่ 60 Hz ก็มีนะผมมองดู60 Hzมันก็ O.K นะใช้ได้เลยล่ะ ค่าของรีเฟรชเรทนั้นมีหน่วยเป็น Hz (เฮิร์ท)ค่าของ 75 Hz ก็คือการนำภาพมาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนหน้าจอ 75 ภาพต่อหนึ่งวินาทีและถ้าตั้งค่ารีเฟรชเรทต่ำๆ จะทำให้เราเห็นเป็นภาพซ้อน หรือเงาของภาพ บางครั้งจะทำให้ภาพบนจอเราสั่นหรือกระพริบ จะเห็นได้ในคอมพ์ ตามสถานที่ราชการจอสีนมๆ อ้วนๆ แล้วภาพมันจะกระพริบเป็นคลื่น555+ ไม่เชื่อลองไปที่ว่าการอำเภอดูก้อได้ ข้อนี้ผมคอนเฟิร์ม ! หมอลักษณ์ ฟันธง!<br /><br />****V-syncเมื่อกี้พูดถึง Refresh Rate จะไม่พูดถึง V-sync เลยก็คงไม่ได้ในการเล่นเกมส์จะมีการตั้งค่า V-sync (Vertical synchronization)มันคือการกำหนดความถี่สูงสุดของจอภาพ เช่นหากคุณเปิดระบบ V-sync ไว้แลตั้งค่าRefresh Rate ไว้ที่ 75 Hz ตัวการ์ดแสดงผลจำจำกัดการแสดงผลที่ 75ภาพต่อวินาทีเท่านั้นแต่หากเราปิดระบบ V-sync ตัวการ์ดจอจะสามารถคำนวณได้มากกว่า 75ภาพต่อวินาทีดังนั้นนักเล่นเกมส์ตัวยงควรปิดไปซะเพราะยิ่ง อัตราการ Refresh Rate มากเท่าไรยิ่งดีมันจะทำให้ภาพไหลลื่นมากขึ้น<br /><br /><br />****Texture(เท็กซ์เจอร์)มันคือรูปภาพ 2 มิติที่ถูกใส่ลงไปบนพื้นผิวของรูปทรงสามมิติโดยถือเป็นการทำงานร่วมกันของการประมวลผลภาพแบบ 2 มิติ และ 3มิติ ขั้นพื้นฐาน <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTKq144rqBl-THdcZcVpErE_ipQpEdFGd7XhkY78oV_a5myOrzcHrppZ5I1PVW4TrP7_OJySYwqhG9NLstj-3MIbh9NkWV31oDZoevYUDGYrUQKNX7xfZKMr5-YkSMnqgyjlWsJ3tSu9c/s1600-h/9600GT.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5281486595006780642" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 233px; CURSOR: hand; HEIGHT: 140px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTKq144rqBl-THdcZcVpErE_ipQpEdFGd7XhkY78oV_a5myOrzcHrppZ5I1PVW4TrP7_OJySYwqhG9NLstj-3MIbh9NkWV31oDZoevYUDGYrUQKNX7xfZKMr5-YkSMnqgyjlWsJ3tSu9c/s200/9600GT.jpg" border="0" /></a><br /><br />****Vertex(เวอร์เท็กซ์)จุดในรูปทรงสามมิติประกอบขึ้นมาจากแกน X , Y , Z โดยการรวมกันของจุดอย่างน้อย 3 จุดจะสร้างให้เกิด โพลิกอนรูปทรงสามเหลี่ยม ทรงลูกบาศก์ และรูปทรงทับซ้อนได้มากมาย<br /><br /><br />****Fill Rates(ฟิลเรท)คือความเร็วของการ์ดจอที่สามารถวาดภาพที่ประกอบด้วยพิกเซลจำนวนมากขึ้นมาได้ดังนั้นหาก Fill Rates ยิ่งสูงยิ่งดีเพราะจะทำให้การวาดภาพประกอบพิกเซลนั้นรวดเร็วขึ้น<br /><br />****ROPs(Raster Operator Units)ทำหน้าที่รับผิดชอบการเขียนข้อมมูลลงพิกเซลลงบนหน่วยความจำหลัก(RAM)โดยความเร็วในการทำงานเรียกว่า Fill Rate<br /><br /><br />****Shaderปัจจุบัน Shaderมีอยู่ 2 แบบ คือ Pixel Shaders และ Vertex ShadersVertex Shaders นั้นจะทำหน้าที่เปลี่ยนรูปทรงสามมิติให้เป็นรูปแบบต่างๆตามที่หน่วยประมวลผลสั่งมา ส่วนของ Pixel Shaders นั้นทำหน้าที่คำนวณเพื่อเปลี่ยนแปลงสีและสร้างแสงทำที่ซับซ้อนในส่วนต่างๆของวัตถุสามมิติให้ดูมีมิติมากขึ้น<br /><br />****Pixel Processor(พิกเซลโปรเซสเซอร์)Pixel Processor หรือ Pixel Shadr Units ทำหน้าที่ประมวลผลแสงและเงาและเปลี่ยนสีของวัตถุเช่นน้ำที่กำลังสั่นไหวทั้งเงาน้ำแสงตกกระทบต่างๆ Pixel Processorเป็นตัวจัดการทั้งหมดดังนั้นเนี่ยยิ่ง Pixel Processor มีมากเท่าไรยิ่งทำให้การประมวลผลดีขึ้นเท่านั้นจะกล่าวได้ว่าPixel Processor ใช้วัดคุณภาพความแรงของตัวการ์ดเลยก็ว่าได้สรุปก็คือถ้า Pixel Processor ใช้ประมวลผลการทำ Pixel Shader<br /><br /><br />****Vertex Processor(เวอร์เท็กซ์โปรเซสเซอร์)Vertex Processo หรือ Vertex Shader Units ทำหน้าที่ประมลผลการทำ Vertex Shaders ให้กับวัตถุสามมิติหลายๆอันพร้อมกัน<br /><br /><br />****Unifield Shaders/Stream Processorถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาแทนการประมวลผลแบบเดิมเลยก็ว่าได้โดยแต่เดิมการประมวลผล Pixel Processor และ Vertex Processorนั้นจะทำงานแยกกัน แต่รูปแบบของ Stream Processor(สตรีม โปรเซสเซอร์)นั้นจะรวมเอา Pixel Processor และVertex Processor เข้ามาไว้ด้วยกันทำให้การทำงานยืดหยุ่นตามความต้งการของการประมวลผลการออกแบบStream Processorของ ค่ายNvidia และค่าย ATI ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ทางยักษ์เขียว Nvidia Stream Processor1ตัวจะคำนวณชุดคำสั่ง1ตัวคิดเป็นอัตราส่วน 1:1 แต่ทางค่ายATI Stream Processorจะจับกลุ่มการทำงาน กลุ่มละ 5ตัวและใน5ตัวจะมี Stream Processor แท้ๆเพียงแค่ตัวเดียวดังนั้นถ้าอยากรู้ว่า การ์ดจอของค่ายATIมีStream Processorจริงๆกี่ตัวก็เอาจำนวนStream Processorทั้งหมด หารด้วย 5นะประสิทธิ์ภาพการทำงานการ์ดของทั้ง2ค่ายนั้น ทางNvidia ก็ยังดีกว่าอย่างชัดเจนแทบทุกด้านและยิ่งการออกแบบStream Processorด้วยแล้ว ทางNvidiaดูได้เปรียบค่อนข้างมากเพราะผู้พัฒนาซอฟต์แวร์โดยเฉพาะเกมส์เขียนShaderที่เข้ากันกับทาง Nvidia เพราะเขียนง่ายประสิทธิ์ภาพก็สูงแต่โปรแกรมการเขียนเกมส์ที่เรียกกันว่า Complex Texture นั้นจะเหมาะกับการ์ดของ ATIมากกว่าเพราะการเขียน Shaderแบบนี้จะเขียนยากซับซ้อน และเขียนนานแต่ประสิทธิ์ภาพที่ได้กลับดีกว่าแบบแรกไม่มากนักจึงไม่คุ้มที่นักเขียนเกมส์และซอฟต์แวร์ต่างๆจะหันมาลงทุนกับ Complex Texture<br /><br />*****<br />*****<br />*****ต้องขออภัยนิดนึงที่อธิบายรายละเอียดของ<br />Unifield Shaders/StreamProcessor ของทั้ง 2 ค่ายไว้ไม่ชัดเจนนัก เดี๋ยวจะหาโอกาศเอามาเล่าให้ฟังโอกาศหน้าครับแต่อยากบอกนิดนึงว่าไอ้ Stream Processorยิ่งเยอะยิ่งดีเพราะมันก้อเหมือนหัวใจของการ์ดจอเลยล่ะ ถ้าเปรียบว่า GPU คือสมองStream Processorก็คือเซลล์สมองนั่นเอง การที่เราจะซื้อการ์ดจอสักตัวต้องเปรียบเทียบรายละเอียดพวกนี้หลายๆรุ่นครับ<br /><br /><br />****HDR Lighting / OpenEXR HDRHDR ย่อมาจากคำว่า High Dynamic Range ระบบ HDR Lighting จะทำให้เกมส์มีความสมจริงมากขึ้นถ้าเกมส์ไหนไม่มี HDR Lighting จะทำหใเกมส์ขาดความสมจริง ในตัว DirectX 9 การ์ดจอที่สันับสนุนนั้นความสามารถการประมวลผลแสงและเงาทำได้ที่ 24bit แต่การ์ดที่สนับสนุน Direct 9.c จะมีความสามาถประมวผลแสงและเงาที่ 32 bit นั่นหมายความว่าสามารถรองรับ Shader Model 3.0 และทำให้รองรับการคำนวณ HDR แบบ OpenEXR<br /><br />****Texture Mapping Units (TMUs)ทำหน้าที่ใส่ตัวอักษรลวดลายต่างๆและจัดองค์ประกอบภาสามมิตินั้นๆโดยจะทำงานร่วมกับPixel Processor และ Vertex Processor TMUs สามารถบ่งชี้ความเร็วในการสร้างตัวอัพษรและลวดลายของการ์ดแสดงผลนั้นๆ<br /><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhklVvWPdIGNttdlU4wNv4mAGRETnvsBH0GbJ-G3caw09K8fvkHvTgn9QcPzhAs21vtrcrvRRx3bA4ZeJnYRf-1KCqaq7bJt4CoQSaduK67nWKmre0efrrUaJRj7ji7hi_Uv3-ht8fI46s/s1600-h/hd4850.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5281487519642206546" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 162px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhklVvWPdIGNttdlU4wNv4mAGRETnvsBH0GbJ-G3caw09K8fvkHvTgn9QcPzhAs21vtrcrvRRx3bA4ZeJnYRf-1KCqaq7bJt4CoQSaduK67nWKmre0efrrUaJRj7ji7hi_Uv3-ht8fI46s/s200/hd4850.bmp" border="0" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCbURJ4onAKNd7MXM2SZbfDif0m98hkd7xNuJ0sl9wmNAPu546cK7J0IIFvxaZIOaP-NFdZVW0SA0HQf88SpJqssHWxM-L1IcuB4bCP6Psm9nzNTEO5gSkF0yBZwVjzu3ghVhM_YejBJU/s1600-h/test4850-70.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5281488114754692226" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 149px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCbURJ4onAKNd7MXM2SZbfDif0m98hkd7xNuJ0sl9wmNAPu546cK7J0IIFvxaZIOaP-NFdZVW0SA0HQf88SpJqssHWxM-L1IcuB4bCP6Psm9nzNTEO5gSkF0yBZwVjzu3ghVhM_YejBJU/s200/test4850-70.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhklVvWPdIGNttdlU4wNv4mAGRETnvsBH0GbJ-G3caw09K8fvkHvTgn9QcPzhAs21vtrcrvRRx3bA4ZeJnYRf-1KCqaq7bJt4CoQSaduK67nWKmre0efrrUaJRj7ji7hi_Uv3-ht8fI46s/s1600-h/hd4850.bmp"></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />****DirectX 9.c / Direct 10DirectX บนวินโดว์ XP มาสิ้นสุดที่ เวอร์ชั่น 9.c ในขณะที่วินโดว์ตัวใหม่ Vista รองรับเอาDirectX 10 เข้าไปเต็มรูปแบบทำให้การประมลผล สามมิติดูดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจากที่ดูพรีวิวมากาทดสอบต่างๆของ DirectX 10 กินDirectX 9.c อย่างชัดเจน<br /><br /><br />****DirectX / Shader Modelถือว่าโปรแกรมทั้งสองนั้นเป็นมาตรฐานสำหรับการสร้างเกมส์สามมิติไปแล้วโดยที่ DIrectX จะทำหน้าที่รวบรวมชุดโปรแกรมคำสั่งเกี่ยวกับการสร้างวัตถุสองและสามมิติ เสียงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ในส่วนของ Shader Model จะเป็นชุดคำสั่งเกี่ยวกับการสร้างวัตถุ แสง เงา และเอฟเฟคต์ต่างๆ<br /><br />****Anti-AliasingAnti-Aliasing เป็นเทคโนโลยีช่วยลบรอบขรุขระตามขอบวัตถุ ถ้าเราสังเกตุดีๆแล้วเปิดคุณภาพกราฟฟิคแบบต่ำ เราจะเห็นรอยขรุขระตามขอบวัตถุชัดเจนมากครับมันจะเป็นเหมือนฟันใบเลื่อย นั่นแหละจึงทำให้มี เทคโนโลยี Anti-Aliasing เพื่อลบมัน แต่ก็แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อความเร็วของตัวการ์ดโดนตรงถ้าการ์ดไม่แรงจริง อย่างได้คิดเปิด และAnti-Aliasing ก็ไม่ได้มีในการ์ดรุ่นเก่าๆด้วยสิ<br /><br /><br />****Texture FilteringTexture Filtering วัตถุสามมิติในเกมส์นั้น เมื่อเปลี่ยนมุมมองจะทำให้เกิดการเบลอและบิดเบี้ยวของวัตถุ Texture Filteringจึงถูกใส่มาบนการ์ดเพื่อลบปัญหานี้เริ่มแรก Texture Filtering คือเทคโนโลยี bilinear ภาพที่ได้ก็ยังไม่ดีนัก ภายหลังจึงพัฒนาออกมาเป็น Tri-linear :ซึ่งสองเทคโนโลยีนี้เทียบได้กับเทคโนโลยีการสร้างรูปแบบอิสระในการ์ดจอปัจจุบัน Texture Filteringที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ anisotropic filtering (AF) การทำงานจะคล้ายๆกับ Anti-Aliasing โดย anisotropic filtering เปิดการทำงานได้หลายระดับแต่การเปิดใช้ anisotropic filtering ในระดับสูงนั่นหมายถึงความเร็วการ์ดที่ตกลงด้วยเช่นกัน<br /><br />****จากความเห็นของผู้เขียนการดูองค์ประกอบการ์ดทุกอย่างทั้งด้านการผลิตและเทคโนโลยีทุกอย่างล้วนสำคัญทั้งสิ้นหากเราเตรียมการบ้านมาดี จะไม่เสียตังค์ฟรีแน่นอน ของแรงก้ใช่ว่าจะคุ้มเสมอไปอยู่ที่การใช้งานการ์ดมากกว่าว่าใช้คุ้มหรือไม่ หากซื้อการ์ดจอราคาเป็นหมื่นมานั่งพิมพ์งานมันก็คงไม่คุ้มแน่นอนอีกอย่าง ของใหม่ก็ใช่ว่าจะเหนือกว่าของเก่าเสมอไป การดูพรีวิวทดสอบตามแหล่งต่างๆก็ช่วยในการตัดสินใจได้อีกทาง และความเร็ว Core/Mem ขนาดของ RAM ของตัวการ์ดดูดีๆอย่าให้มันแหกตาครับ เช่น RAM การ์ด 512 MB กับ 1024 MB นอกนั้นทุกอย่างเหมือนกันทุกประการ แต่ราคาต่างกัน 500 บาท ถามว่า RAM การ์ด 1024 MB คุณใช้มันถึงเหรอถ้าไม่เอาไปตัดต่อวีดีโออะไรหนักๆแบบนี้ กะอีแค่เล่นเกมส์ Devil may cry 4Need Fore Speed Under Cover หรือจะเป็น เกมส์ออนไลน์ 512 MB เหลือเฟือครับดังนั้นอย่าให้มันแหกตา การ์ดบางรุ่นอาจจะเพิ่มนั่นนิดนี่หน่อย บางตัวก็ over clockมาให้จากโรงงานเลยก็มี ยอมรับว่าของเขาแรงขึ้นก็จริง แต่ต้องดูด้วยว่ามันคุ้มค่าใหมกับราคาค่าตัวที่เพิ่มขึ้น ของใหม่เปิดตัวรับรองว่าแพงแน่นอนครับถ้าไม่ใจร้อนให้รอสักระยะแล้วราคามันจะปรับตัวลงมาตามกลไกตลาดครับ สุดท้ายนะผมมีแบบทดสอบบทเรียนมาให้เพื่อนๆลองดูว่า เพื่อนๆ มีความเข้าใจแค่ไหนกับบทความของผม ผมจะเอาข้อมูลการ์ดจอมาให้เพื่อนๆลองเล่นดูครับ<br /><br /><br />รุ่นแรก ATI 4870 Dual<br /><br />512MB PCIe ATi 4870 DUAL (DDR5, TD) HIS<br />Model : RADEON HD 4870 DUAL<br />GPU : RV770<br />Technology : 55nm<br />Core Frequency : 750 MHz<br />Memory Frequency : 1800 MHz<br />Streaming Processor 800 Unified<br />Memory Size : 512 MB GDDR5 Memory<br />Memory Bus : 256-bit<br />Bus Interface : PCI-Express x16 2.0<br />Output : 2DVI, S-Video, HDMI,D-Sub (by dongle)<br />Cooling : Integrated Fan<br />Support DirectX 10.0 and the latest<br />ATI CrossFire Ready<br />Window Vista Ready<br /><br /><br />รุ่นที่2 9800 GT<br /><br /><br />512MB PCIe(16x) 9800GT (DDR3, TD) WINFAST<br />GPU : G92<br />Technology : 65nm<br />Core Frequency : 600 MHz<br />Shader Clock : 1500 MHz<br />Memory Frequency : 1800 MHz<br />Streaming Processor 112 Unified<br />Memory Size : 512 MB GDDR3 Memory<br />Memory Bus : 256-bit<br />Bus Interface : PCI-Express x16<br />Output : 2DVI, S-Video , D-Sub (by dongle)<br />Cooling : Integrated Fan<br />Support DirectX 10.0 and the latest<br />Window Vista Ready<br />NVIDIA SLI Ready<br /><br />นี่คือรายละเอียดของตัวการ์ด 2 รุ่นที่ผมเอามาให้ดูนะครับ<br />มันมีละเอียดกว่านี้แต่ต้องเข้าที่เวปของ Nvidia และ ATI เองนะ ละเอียดสุดๆ<br />ก็ประมาณนี้เลยแน่นอนว่าคนขายตามห้างไอที ดังๆอย่างพันทิพย์ หรือ<br />เซียร์รังสิตเอง ส่วนมากก็ไม่รู้หรอกครับว่าดียังไงแต่ละรุ่นต่างกันยังไง<br />เขาบอกว่าแรงกว่าๆมันก็ว่าแรง ขายให้เราได้ถือว่า O.K ละ<br />หวังว่าเพื่อนๆคงจะได้คิดอะไรมากมายกับบทความนี้นะครับITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-90467786935076069912008-12-19T04:31:00.000-08:002008-12-19T04:52:18.491-08:00เรียนรู้เรื่องการ์ดจอ เบสิคๆ<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDsvhdgvoTqN60O3917kt8fksfPo5job1-zWAkBkW3CwV6GLeDcDktzSBbMOg-ethjVeauSIQK3HeZcIa77x-TtMocfHjuOS-mEhBU0Wqqdj0YWvuAS3TC5DGfjVsHRXWIZv0KyQtkM1U/s1600-h/nvidia+ati.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5281482580049377634" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 175px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDsvhdgvoTqN60O3917kt8fksfPo5job1-zWAkBkW3CwV6GLeDcDktzSBbMOg-ethjVeauSIQK3HeZcIa77x-TtMocfHjuOS-mEhBU0Wqqdj0YWvuAS3TC5DGfjVsHRXWIZv0KyQtkM1U/s200/nvidia+ati.jpg" border="0" /></a><br /><div><div><div><div><div>****Interface(อินเตอร์เฟซ)ก่อนจะหามาใช้งานเราต้องดูกันก่อนว่าเราอยากได้ การ์ด แบบใดเพื่อให้เข้ากับเมนบอร์ดเรา ปัจจุบันมีเหลือเพียง 2 แบบเท่านั้นคือ PCI-Xpress 16x แล<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1O1M2jYlOfD1uewkn0BtIG2zxR-36uAzWQILKEQ9ciOkShU0_oZ1hLY_MT3VPVIkN2SnUwMVn8Ng7a_k_5v2wYgpxKAgNhkW3aOFbjpNuuqSjEagmIWFzX7M2-GluS_34XJnZhOSMx88/s1600-h/8800.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5281482813582287970" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 243px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1O1M2jYlOfD1uewkn0BtIG2zxR-36uAzWQILKEQ9ciOkShU0_oZ1hLY_MT3VPVIkN2SnUwMVn8Ng7a_k_5v2wYgpxKAgNhkW3aOFbjpNuuqSjEagmIWFzX7M2-GluS_34XJnZhOSMx88/s320/8800.jpg" border="0" /></a>ะ AGP 8x ซึ่ง การ์ดแบบ AGP กำลังจะหายไปแล้วเนื่องจากความเร็วต่ำ จะเหลือก็เพียงเอาไว้อัพเกรดคอมพ์รุ่นเก่าเท่านั้น ในคอมรุ่นใหม่ๆที่ออกมาปัจจุบันจะเป็นสล็อตแบบ PCI-Express 16x กันหมดแล้วไม่มี slot AGP มาให้ใช้งานกันอีกต่อไป ในส่วนของไฟเลี้ยงตัวการ์ดหากเป็นรุ่นเก่าๆหน่อย หรือการ์ดใหม่รุ่นเล็กๆ จะใช้ไฟเลี้ยงจาก Slot PCI เอง แต่หากเป็นการ์ดที่ต้องการไฟเลี้ยงเพิ่มจะมีช่องไฟเลี้ยงเพิ่มเติมเข้ามา ส่วนมากจะเป็นหัว Molex แบบ 4 Pin และ 6 Pin<br /></div><br /><div>****AGP Interfaceอินเตอร์เฟซ แบบ AGP นั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆคือ AGP รุ่นแรก AGP 4x , AGP 8x ซึ่งAGP เวอร์ชั่นแรกนั้นมีความเร็วที่ 266 MB/Secหมายความว่า AGP 8x มีความเร็วเท่ากับ2.1 GB/Sec Slot ของ การ์ด AGP 8x และ 4x ใช้ร่วมกันได้แต่ แบบรุ่นแรกใช้ร่วมกันไม่ได้ครับจุดสำคัญอีกอย่างที่ถือว่าเป็นข้อด้วยของการ์ดแบบ AGP เลยก็คือ ความเร็วของการเชื่อมไม่ผกผันตามบัสของระบบ<br /></div><br /><div>****PCI Express Interfaceสุดยอดอินเตอร์เฟซ ที่โคตรได้รับความนิยมในขณะนี้ PCI Express Slot มี 240 Pinไอ้ที่เราใช้ๆการ์ดกันอยู่ท6dวันนี้ก็ PCI Expressกันทั้งนั้นอ้ะแหละ ในเวอร์ชั่น 1.1 1xจะมีแบนด์วิดธ์เท่ากับ 250 MB/Sec เกือบลืมไปนะว่ามันเอา PCI Express เวอร์ชั่น 2.0 ออกมาขายกันเกลื่อนไปแล้ว และแบนด์วิดธ์ ของเวอร์ชั่น 2.0มีความเร็วเป็น2เท่า ของPCI Express 1.1 คือเท่ากับ 500 MB/Secแล้วเรามาลองคิดดูว่าแบนด์วิดธ์ของ PCI Express1.1 16xนั้นเท่ากับ 4GB/Secและใน PCI Express 2.0 16x เท่ากับ 8 GB/Secจากการติดตามข่าวของการ์ดจอมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ PCI Express 3.0 จะออกมาวางตลาอทันในช่วงปี ค.ศ 2010 ซึ่งแบนด์วิธ์ 1x จะได้เท่ากับ 1 GB/Sec และหากมันเป็น PCI Express 3.0 16xแบนด์วิธ์ที่ได้จะเท่ากับ 16 GB/Sec 2เท่าของ เวอร์ชั่น 2.0 เลยนะเออ !<br /></div><br /><div>****การระบายความร้อนของตัวการ์ดปัจจุบัน GPU เองก็ร้อนมากขึ้นเช่นกันเนื่องมาจากการใส่ คาปาซิสเตอร์ เข้าไปจำนวนมากเพื่อประสิทธิภาพการประมวลผลที่ยอดเยี่ยมดังนั้นจึงต้องการการระบายความร้อนออกจากตัวกร์ดโดยเร็ว โดยการระบายความร้อนมีให้เลือกระหว่าง ฮีตซิงค์พัดลมกับฮีตไปป์การระบายความร้อนแบบฮีตซิงค์พัดลมจะระบายความร้อนได้ค่อนข้างไว แต่อาจจะมีเสียงรบกวนอยู่บ้าง แต่แบบฮีตไปป์จะเงียบแต่การระบายความร้อนยังเป็นรองแบบแรกอยู่นิดๆ<br /></div><br /><div>****Hyper Memory / Turbo Cacheหลายๆท่านอาจจะคุ้นๆกันมาบ้างแล้วนะครับ บางท่านอาจจะมีข้องสงสัยว่าเอ.. แล้วมันเป็นอย่างไรอันไหนจะดีกว่ากัน อันที่จริงแล้วไอ้ตัวระบบ Hyper Memory / Turbo Cache เนี่ยมันก็คืออย่างเดียวกันสาเหตุมันมีอยู่ว่าทาง ATI เรียกระบบแบบนี้ว่า Hyper Memory ส่วนทางNvidia เรียกว่า Turbo Cacheมันจะมีมาให้ในการ์ดราคาประหยัด ซึ่งตัวการ์ดจะมีแรมบนการ์ดมาให้ค่อนข้างต่ำ เช่น 64 MB128 MB 256 MB ตัวการ์ดจังพ่วงระบบ Hyper Memory / Turbo Cache มาให้ ซึ่งหน้าที่ของมันคือจะดึงเอาแรมของเครื่องมาใช้ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็ดูเอาข้างกล่องหรือเปิดค้นหาข้อมูลที่ผู้ผลิตก็ได้ครับว่าแชร์แรมเครื่องมามากแค่ไหน บางท่านอาจจไม่รู้ว่าไอ้ระบบนี้บางทีมันก็หลอกเราเพราะว่าบางคนไม่เข้าใจเห็นว่ามีระบบ Hyper Memory / Turbo Cache 1024 MB (1GB) โห..ตาโตครับพี่น้อง เลยซื้อมาเอาครับ โดนหลอกไปเต็มๆเหมือนน้องคนนึงเขามาโม้ให้ผมฟังว่าการ์ดเขามีแรม 1 GB เศร้าน่ะ<br /></div><div> </div><div>****SLI / CrossFireก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ SLI / CrossFire กล่าวคือมันเป็นระบบต่อการ์ดจอ 2 ตัวครับ(ตอนนี้มีต่อ3กับ4ตัวแล้วนะ อิอิ)แต่ก็เอาเถอะน่าอย่างเราๆ 2 การ์ด ก็เอาให้คุ้มกันก่อนนะ ทางฝั่งของ ATI เรียกว่า CrossFireNvidia เรียกว่า SLI ทั้งนี้เวลาเลือกซื้อหรือจะเอามาอัพเกรด ควรดูด้วยว่า เมนบอร์ดของท่านรองรับหรือไม่สิ่งสำคัญที่บอร์ดต้องมีก็คือ Slot PCI-Express16x 2 Slot(ในรุ่นปัจจุบันนะเพราะมันใช้การ์ด PCI กันหมดบ้านหมดเมืองกันแล้ว)และชิปเซ็ทต้องรองรับด้วยเช่นกัน(ถ้ากล่องมันเขียนว่ารองรับ SLI / CrossFireยังไงก็ใช้ได้)การใช้งานก็ง่ายๆแค่ต่อสาย(Bridge)ระหว่างการ์ด 2 ตัวเข้าด้วยกัน </div></div></div></div></div></div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-17994114826916131302008-12-04T09:56:00.000-08:002008-12-04T10:02:29.127-08:00Intel Core i7<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiV3SxUUTaOluFSfMA6ewlMfkTm6pYLcHgwvIB5H-HClKq9-Pma1yJbis7b9BgE6O76SMnjfQBnsK0j38GK8_VSE7kbGKGx5-iYkVf_3YHIBIQkF01VEyO3PnFyo5BzXod6bDw6JLLyeSE/s1600-h/i7.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5275996696132865474" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 317px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiV3SxUUTaOluFSfMA6ewlMfkTm6pYLcHgwvIB5H-HClKq9-Pma1yJbis7b9BgE6O76SMnjfQBnsK0j38GK8_VSE7kbGKGx5-iYkVf_3YHIBIQkF01VEyO3PnFyo5BzXod6bDw6JLLyeSE/s320/i7.jpg" border="0" /></a><br /><div>Intel Core i7 มาแล้วๆของแรงของ Intel CPU ตัวใหม่ i7 เฝ้ารอกันมาตั้งนานวันนี้ปล่อยออกสู่ตลาดแล้วครับมาอัพเดทข้อมูลกันเลย สำหรับ CPU Intel Core i7 นี้มีรหัสพัฒนาว่า Nehalem (เนฮาเล็ม)ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตแบบ Core Microarchitechiture (คอร์ ไม่โครอาชิทเท็กซ์เจอร์) ผังโครงสร้างของCPUก็เปลี่ยนไปด้วยครับตามเทคโนโลยีเพราะเปลี่ยนSocketใหม่ด้วย เรียกว่า Socket B (LGA 1366)และจากที่เปลี่ยนผังภายในตัว CPU ใหม่จึงทำให้เป็น CPU แบบ 4 Core แท้ๆ ไม่ใช่ การนำCPU 2 Core มาวางต่อกันแบบ CPU Quad Coreสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ Intel Core i7 นี้คือได้มีการพัฒนาระบบ BUS ใหม่ใช้ชื่อว่า QuickPathInterconnect (QPI) ฟังดูอาจจะเหมือน ระบบHypertransport ของ AMD อยู่บ้างแต่ไม่เหมือนครับระบบ QPI ใช้การเชื่อมต่อคอร์ทั้ง 4 ของ CPU แบบจุดต่อจุดด้วยช่องทางความเร็วสูงทำให้ CPUแต่ละ Core เรียกหน่วยความจำข้ามจากคอร์หนึ่งไปอีกคอร์หนึ่งได้โดยที่ความเร็วไม่ตกลงมากมายนักเมื่อเทียบกับระบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มหน่วยความจำ L3 ให้ใหญ่ขึ้น ถึง 8MB ยังไม่พอครับจุดเด่นที่เพิ่มเข้ามาลบข้อด้อยเพียงอย่างเดียวของ CPU Intel ทุกตัวคือ Intel Core i7มีชุด Memory Controlerไว้ในตัว CPU แล้ว ทำให้ CPU เรียกใช้ RAM ได้ทันทีไม่ต้องผ่านชิปเซ็ทอีกต่อไป ซึ่งมันมีผลทำให้คอขวดระหว่างการส่งข้อมูลผ่านชิปเซ็ทหมดไปทันที (เร็วจี๊ดๆ) นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีเก่าแต่เจ๋งเพิ่มเข้ามาด้วยนั่นคือ ระบบ Hyper Threading (HT)แต่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Simultaneous multi-threading (SMT) ทำให้ Intel Core i7 สามารถประมวลผลพร้อมกันได้มากถึง 8 Thread จาก CPU ที่มีแค่ 4 CORE สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของวางจำหน่ายแล้วเมื่อวันที่ 17 พย.2008 มีให้เลือก 3 รุ่นด้วยกันคือ<br /></div><br /><div>Intel Core i7 920 = 2.67 GHz , </div><br /><div>=L2 Cache 256x4KB,L3Cache 8MB Share, </div><br /><div>=Multiplier 20x </div><br /><div>=BusSpeed 133.3 MHz </div><br /><div>=QPI 2.4GHz </div><br /><div>=TDP 130 w </div><br /><div>=Socket B LGA 1366 </div><br /><div>=MMX,SSE,SSE2,SSE3,SSSE3,SSE4.1,SSE4.2,EMT64T<br /></div><br /><div>Intel Core i7 940 </div><br /><div>= 2.93 GHz , </div><br /><div>=L2 Cache 256x4KB,L3Cache 8MB Share, </div><br /><div>=Multiplier 22x </div><br /><div>=BusSpeed 133.3 MHz </div><br /><div>=QPI 2.4GHz </div><br /><div>=TDP 130 w </div><br /><div>=Socket B LGA 1366 </div><br /><div>=MMX,SSE,SSE2,SSE3,SSSE3,SSE4.1,SSE4.2,EMT64T<br /></div><br /><div>Intel Core i7 920 = 3.20 GHz , </div><br /><div>=L2 Cache 256x4KB,L3Cache 8MB Share, </div><br /><div>=Multiplier 24x </div><br /><div>=BusSpeed 133.3 MHz </div><br /><div>=QPI 3.2GHz </div><br /><div>=TDP 130 w </div><br /><div>=Socket B LGA 1366 </div><br /><div>=MMX,SSE,SSE2,SSE3,SSSE3,SSE4.1,SSE4.2,EMT64T<br /></div><br /><div>สำหรับตอนนี้มีเพียง Chipset X58 ตัวเดียวที่รองรับ CPU i7 สำหรับข่าวคราวการทดสอบรายละเอียดอื่นๆจะนำมาเสนอต่อไปครับแต่ใจจริงๆอยากจับมา OverClock ซะทีแต่ไม่มีปัญญาซื้อแค่ตัว i7 920 ก็ราคาหลักหมื่นแล้วครับ </div>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-90834496322082366012008-11-30T20:17:00.000-08:002008-11-30T20:18:34.371-08:00ระบบระบายความร้อนคอมพ์ขั้นเทพ<a href="http://ghosedemon1.spaces.live.com/blog/cns!C2C37E6904FD7A0B!187.entry">การระบายความร้อนPCขั้นเทพ</a><br />1- พัดลม (FAN)<br /> พัดลมเคส ทั่วๆไปก็จะมี2-3ตัว ติดอยู่ที่ตัวเคส แย่หน่อยก็มีมาให้ตัวเดียว(แบบเคสผมเนี่ยต้องซื้อมาเพิ่ม -_-" )<br /> การระบายอากาศที่ดีจะต้องมีพัดลมดูอากาศจากภายนอกเข้าเคส1ตัว แล้วดูดจากเคสออกอีก1ตัว<br /> ฮีตซิงค์ที่ติดกับอุปกรณ์ก็จะมีพัดลมช่วยระบายความร้อนออกมาเช่นกัน เช่น CPU และ การ์ดจอ<br /> ทิศทางการไหลเวียนของอากาศภายในเคสก็สำคัญ การจัดการไหลเวียนของอากาศภายในเคสที่ดี<br /> ย่อมส่งผลให้ตัวเคสมีอุณภูมิไม่สูงมากจนเกินไป การระบายความร้อนด้วย พัดลมเป็นการระบายความร้อนที่ดีระดับหนึ่ง<br /> หาซื้อง่ายราคาถูก ติดตั้งง่าย<br />2- อากาศ(Air)<br /> การใช้อากาศระบายความร้อนอาจจะงงกันนิดหน่อย หลายท่านอาจจะสงสัย อ้าว มันไม่เหมือนกับใช้พัดลมเป่าเอาเหรอ<br /> ไม่ใช่ครับ พูดง่ายๆมันคือฮีตไปป์(Heat Pipe)นั่นเอง ฮีตไปป์เองนั้นในราคากลางๆภายในท่อจะอัดไปด้วยอากาศ<br /> และคุณสมบัติการนำความร้อนของกาศก็คือ อากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ด้านบนแล้วอากาสเย็นจะไหลต่ำลงมาแทนที่<br /> นี่คือหลักการระบายความร้อนของฮีตไปป์ครับ ปลายฮีตไปป์จะมีครีบระบายความร้อนเพื่อระบายเอาความร้อนจาก<br /> อากาศร้อนภานในท่อออก ส่วยมากระหว่างครีบระบายความร้อน จะมีพัดลมดูดช่วยเป่าด้วยระบายด้วย<br /> ที่พิเศษสุดๆสำหรับฮีตไปป์นั้น ในรุ่นที่ราคาสูงๆ ในท่อฮีตไปป์จะเป็นสารเคมีนำความร้อน ซึ่งสามารถนำความร้อน<br /> ได้ดีกว่าอากาศ แต่ก็แลกมาด้วยราคาค่าตัวที่สูงด้วยเช่นกัน ปัจจุบันราคาฮีตไปป์ถูกลงมากเหลือเพียงแค่หลักพันต้นๆ<br /> ก็เป็นเจ้าของได้แล้ว และการระบายความร้อนที่ค่อนข้างเสถียรก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกันครับ<br />3- น้ำ(WATER)<br /> การระบายความร้อนด้วยน้ำ ปัจจุบันเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ถึงขนาดว่ามีชุด เซ็ทระบายความร้อนด้วยน้ำนี้วางขาย<br /> กันตามท้องตลาดมากมายไห้ได้เลือก หลักการทำงานคือถายในท่อจะมีน้ำไหลผ่านอุปกรณ์ที่ต้องการระบายเช่น CPU<br /> น้ำจะนำความร้อนโดยมีปั๊มน้ำคอย ปั๊มให้น้ำไหลเวียนในระบบแล้วน้ำอุ่นที่พาความร้อนออกมาจาก PC จะไประบายออกที่แผง<br /> คอนเดนเซอร์(แผงรังผึ้งดำๆน่ะ) แล้วน้ำที่ลดอุณภุมิแล้วก็จะไหลกลับมาน้ำความร้อนที่ตัวอุปกรณ์อีก วนเวียนไปแบบนี้<br /> คุณสมบัติการนำความร้อนของน้ำนั้น ดีเยี่ยมสามารถควบคุมความร้อนที่เรียกได้ว่า ได้ดั่งใจเหมือนเทพเลย แต่อันตราย<br /> จากน้ำก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกันหากไม่มีความชำนาญเพียงพอ หากน้ำรั่วไหลลง เมนบอร์ด รับรองว่าเดี้ยง แน่นอนครับ<br /> ส่วนมากการระบายความร้อนด้วยน้ำ นัก OVER Clock จะนิยมครับเพราะต้องลดอุณภูมิระบบที่ถูก Over Clock<br /> ให้เสถียร ไม่ให้เครื่อง แฮ้งค์จากอุณภูมิที่พุ่งสูงขึ้น บางท่านนอกจากใช้น้ำธรรมดาแล้วยังเติมสารหล่อเย็น<br /> ลงไปในน้ำด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน(เหมือนรถยนต์เลยเนาะ)<br />4- น้ำแข็งแห้ง(Dry Ice)<br /> น้ำแข็งแห้งเปนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อยู่ในสถานะของแข็ง หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า<br /> Solid Carbon Dioxide การระบายความร้อนด้วนน้ำแข็งแห้ง เหมาะกับนัก Over Clock ที่ทดสอบระบบ<br /> ในช่วงเวลาสั้นๆครับเพาระน้ำแข็งแห้งมีอุณภูมิ 0 องศา ถึง -79 องศาเซลเซียส มันจึงระเหยเป็นไอได้ง่าย<br /> ต้องเติมบ่อยๆ และไม่ค่อยเสถียรนัก<br />5- ไนโตรเจรเหลว(Liquid Nitrogen)<br /> นี่คือการระบายความร้อนโคตรเทพ และอันตรายที่สุด ก่อนอื่นมารู้จักกับก๊าซไนโตรเจนกันก่อนครับ<br /> ไนโตรเจนธรรมดา ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส มีจุดเดือดที่ -196 อางศาเซลเซียส จุดหลอมเหลวที่ -210<br /> องศาเซลเซียสละลายน้ำได้เล็กน้อย และเบากว่าอากาศ การใช้ไนโตรเจนเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแค่เอามันมาใช้ก็ไม่รู้<br /> จะหามาได้ยังไงแล้ว และอันตรายสุดๆของไนโตรเจนเหลวก็คือความเย็นที่ติดลบของมันนั่นเอง หากไปถูกมันเข้า<br /> ยิ่งกว่าไปเผาอีกครับ มันจะกัดเนื้อจนไหม้ กรอบทำลายเซลล์ น่ากัวมั่กๆ และอันตรายต่อ PC ในขณะการใช้คือการควบแน่น<br /> ระหว่างการระบายความร้อน มันจะเป็นหยดน้ำหล่นลงบนเมนบอร์ด พากันเจ๊งอีก เอ้อนะยุ่งยากจิงๆ<br /> สรุปคือไนโตรเจนเหลงเหมาะกับการทดลองใน แล็ปมากกว่าครับ สามัยชนคนธรรมดา อย่าทำเลยอันรายจ้า<br />สรุป= สามัญชนคนธรรมดาแค่พัดลงกับฮีตซิงค์ ก็พอแล้วครับ เครื่องผมเล่นเกมส์ข้ามวันข้ามคืนก็มีพัดลมติดเคส<br /> หน้ากว้าง3นิ้ว กับ 4นิ้ว อย่างละตัวเอง กับนัก Over Clock หรือ Gamer จะหันมาใช้ ฮีตไปป์เพื่อการระบายความร้อน<br /> ที่ค่อนข้างเสถียร และ การระบายความร้อนด้วยน้ำ เหมาะสำหรับ Hardcoreที่เน้นการ Clockที่ความเร็วสูงๆ<br /> หรือพวกบ้าเกมส์ข้ามวันข้ามคืนครับITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-22625698156969444862008-11-30T20:11:00.000-08:002008-11-30T20:17:07.339-08:00จดโดเมน ฟรีๆไม่มีเสียตังค์<a href="http://ghosedemon1.spaces.live.com/blog/cns!C2C37E6904FD7A0B!190.entry">จดโดเมนฟรีๆไม่เสียตังค์ สนมั้ยจ๊ะ</a><br />หวังว่าจะเป็นความหวังของนักท่องเวปยากไร้ทั้งหลายนะครับ จะมีเวปของตัวเองทั้งทีต้องมาทำBlog ที่มีบริการฟรี<br />พอได้ BLOG มาทำเวปได้แล้วชื่อBlogก็ดันยาวเหยียดต้องอ้างอิงเจ้าของ Blog ซะอีกก้อดูอย่าง Bloggerงี้สิครับ<br />www.xxxxxxxxxx.blogspot.com มันจำยากมั้ยล่ะ แต่จะเอาชื่อสั้นๆจ๊าบๆ ก็ดันต้องจดโดเมนเสียตังค์ ซะงั้น<br />วันนี้ผมเลยเอาบริการจดโดเมนฟรีๆมาฝากกันครับ<br />1- ก่อนอื่นเข้าไปที่ www.co.cc<br />2- คลิก Create an account now<br />3- ติ๊กช่อง I accept the terms of service<br />4- เริ่มสร้างโดเมนใหม่ คลิก Getting a new Domain จากนั้นเราอยากได้ชื่อเวปอะไรก็ใส่ลงไปได้เลยครับ<br />5- คลิก Check Avialability ถ้ายังไม่มีคนใช้โดเมนที่เรากรอกไป ก็โอเคครับ ชื่อนี้เราใช้ได้<br />6- คลิก Continue to rigistration ตามด้วยคลิก set up หากต้องการทำเป็นลิ้งคืให้ไปหน้าที่ต้องการให้คลิก<br /> URL Forwarding จะมีช่องให้กรอกรายละเอียดเวปเพิ่มเติม<br />7- จากนั้นให้กรอกชื่อเวปอันเก่าที่มันจำยากๆน่ะลงไปในช่อง Redirect to:<br />อย่าลืมกรอกชื่อเวปลงไปในช่อง Page title: และช่อง Frame : ให้เลือกระหว่าง Path Forwarding<br />ซึ่งหมายถึงให้แสดงชื่อดดเมนที่เรากำลังจะจด หรือ URL Hidding ซึ่งหมายถึงแสดงที่อยู่ของเวปไซต์ขอวเราจริงๆ<br />จากนั้นก็คลิก SET Up<br /> แล้วลองเข้าเวปไซต์ที่เราจดดูครับITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5230531771134610757.post-8522113682498013152008-11-29T07:47:00.000-08:002008-11-29T07:59:11.621-08:00แนะนำร้านค้า K-ITselling<strong><span style="font-size:130%;">แนะนำร้านค้ากันก่อนนะครับร้านเราจำหน่ายชิ้นส่วน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิดในราคาถูก และจะขยาย</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">ร้านออกนำ Notebook เข้ามาจำหน่าย รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือด้วย แต่ช่วงเปิดร้านจำหน่าย</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">เพียงชิ้นส่วนคมพิวเตอร์เป็นหลักครับ จัดส่งทั่ว ประเทศไทยค่าส่ง30 บาททั่วประเทศครับ</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">การซื้อสินค้าผ่านทางเวปไซต์เรา มีหลายช่องทางครับ สั่งซื้อผ่านE-Mail หรือโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">Mail มาแจ้ง หรือช่องทางที่สะดวก ชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร Online Paysbuy</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">ซึ่งสามารถแนบMail มาพร้อมกับหลักฐานการโอนเงินผ่านธนาคารมาเลย แนะนำเลยครับ</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">ใช้ดีมากๆ รายละเอียดwww.paysbuy.com </span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">หลายๆเวปไซต์รวมไปถึงTarad.comก็นิยมใช้บัญชี Paysbuyครับ</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">ความเร็วการส่งของ3-7วันทำการครับ ขายในราคาส่ง</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;"> สำหรับชาว PC เราจะจำหน่าย DVD เกมส์คอมพิวเตอร์ในราคาถูก</span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">กำหนดเปิดร้านค้า 15 ม.ค 2552ครับ</span></strong>ITSellinghttp://www.blogger.com/profile/17958860272154417023noreply@blogger.com0