วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Mainboard(วิธีเลือกซื้อเมนบอร์ด)



Mainboard (เมนบอร์ด) หลายๆท่านเวลาซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่อง สิ่งแรกที่ท่านดูก็คือCPU RAM แต่ สิ่งที่ท่านมองข้ามและสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆเลยก็คือ เมนบอร์ด ผมเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเมนบอร์ดมากๆ โดยที่ ทุกครั้งที่ประกอบเครื่องคอมพ์ สักตัวหนึ่งสิ่งแรกที่ทำคือเลือกเมนบอร์ด
เพื่อนๆผมหลายๆคน ต้องการซื้อคอมพ์ประกอบเองแต่ไม่มีความรู้ ก็มาไหว้วานให้ไปเป็นเพื่อนผมก็มักจะปฎิเสธไม่ได้เสมอๆ จึงอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นแนวทางอีกอย่างหนึ่งในแง่มุมที่ผู้อ่านอาจจะไม่เคยมองเห็นว่า เมนบอร์ดมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ??
การจะประกอบคอมสักเครื่องหัวใจหลักผมยกให้ เมนบอร์ดไม่ใช่ CPUเพราะในการอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงการต่อพ่วง หรือแม้กระทั่งโมดิฟายขีดจำกัด การอัพเกรดจะอยู่ที่ Mainboard ครับลองคิดดูว่าหากอยากจะเปลี่ยนแรมจาก DDR2 667 MHz มาเป็น DDR2 800 MHz แต่บัสของMainboardรองรับได้แค่ 667 MHz ก็น่าเสียดายที่อัพเกรดไม่ได้ ดังนั้นถ้าคิดจะอัพเกรดในภายภาคหน้าให้เลือกเมนบอร์ดที่สามารถอัพเกรดได้ไม่ติดขัด หากไม่คิดจะอัพเกรดก็ไม่จำเป็นจะต้องซื้อMainboardเกินตัว
อยากใช้สเปคแรงแค่ไหน Mainboard นี่แหละตัวควบคุมสเปคเหล่านี้เลยมาดูกันว่า Mainboard บอกอะไรกับเราบ้าง
1.CPU ปัจจุบันมี 2ค่ายคือ Intel และ AMD ต้องการใช้ค่ายไหนก็เลือก SOCKET Mainboard ให้ตรงกับCPUด้วยนะครับ แล้วCPU แต่ละรุ่น จะมีSOCKETแตกต่างกันตามการผลิตเช่น CPU Intel รุ่นเก่าๆหน่อยจะ เป็น SOCKET 458(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) แต่ปัจจุบัน SOCKET ของ INtel ทุกรุ่นจะเป็น SOCKET 775 ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ตระกูล Pentium ไปจนถึงCore 2 Duo เลย ตอนนี้ปี2009 Intel กำลังจะเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่หันไปใช้ SOCKET ใหม่ซึ่งใช้กับCPU Core i7 แล้วSOCKET 775ก็จะเริ่มถูกแทนที่ด้วยSOCKETใหม่ตัวนี้ จนกระทั่งหมดความนิยมไป
2.Chipset (ชิปเซ็ท)Chipset เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของเมนบอร์ดทุกรุ่นเลยก็ว่าได้ประสิทธิภาพของเมนบอร์ดมีชิปเซ็ทเป็นตัวบ่งชี้ ยิ่งชิปเซ็ทมีประสิทธิภาพสูงการคอนโทรลอุปกรณ์ต่อพ่วงทุกชิ้นยิ่งมีประสิทธิภาพสูงตามไปด้วย
Chipsetมีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต่อพ่วงเข้ามากับตัวเมนบอร์ดจะมีChipset 2ตัวคือ Chipset NorthBridgeและChipset SouthBridgeChipset NorthBridge จะทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ที่มีความเร็วสูงจำพวก CPU RAM และ GraphicardChipset SouthBridge จะควบคุมอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ที่มีความเร็วต่ำเช่น Harddisk Printer DVD-Writer เป็นต้นนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการควบคุมระบบชั้นสูงเช่น Multi GPU , RAID , Over Clock เป็นต้น
Chipset มีการพัฒนาออกมาเรื่อยๆประสิทธิภาพการทำงานก็ดีขึ้นตามแต่ละชิปเซ็ทดังนั้นการเลือกซื้อChipsetให้เหมาะกับการใช้งานต้องอาศัยประสบการณ์และการค้นคว้าหาข้อมูลของChipsetแต่ละตัวว่ามีความสามรถจัดการ อุปกรณต่างๆได้ดีเพียงไรปัจจุบันในปลายปี2008-ต้นปี2009 Chipset Intelที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงคือ Chipset P45
ยกตัวอย่างเช่น Chipset A มีระบบ Dual Chanelแต่ Chipset B ไม่รองรับระบบ Dual Chanel
เมนบอร์ด Chipset A เมื่อเปิดใช้งานระบบ Dual Chanelของ RAM จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของ RAM ดีกว่าเพราะว่าRAMวิ่งรับส่งข้อมูลแบบ 2ทาง
3.Slot PCI Mainboard ในปัจุบันจะมี Slot PCI , PCI 1x , PCI 16xมาให้อยู่แล้ว แต่จะกล่าวถึง Slot PCI 16x เนื่องจากเป็น SLOT ที่ใช้เสียบการ์ดจอ ดังนั้น การเลือกแบบ มี 1Slot หรือ2Slot ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานว่าจะใช้การ์ดจอกี่ตัว ส่วนSLOT PCI ,PCI 1x จะใช้กับการ์ดต่อพ่วงความเร็วต่ำเช่น การ์ดTV , Soundcard เป็นต้น
4.Port IDEและSATA2IDEและSATA2 มีไว้ต่อกับฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีมาให้ทั้ง 2พอร์ทแต่บอร์ดรุ่นเก่าๆจะไม่มีพอร์ท SATA2 มาให้ข้อแตกต่างของการเชื่อมต่อทั้ง2พอร์ทนี้คือ IDE/ATAจะต่อด้วยสายแพ 40-80เส้นตามแต่ละอินเตอร์เฟซ แต่SATA2 จะใช้สายแพขนาดเล็ก7เส้นเป็นตัวรับส่งข้อมูลซึ่งมีความเร็วสูงกว่าIDEมาก จะใช้ฮาร์ดดิสก์แบบใด ใช้กี่ลูกก็อย่าลืมดูจำนวนพอร์ทด้วยนะครับ
5.พอร์ทอื่นๆ -พอร์ท USB ปัจจุบันจะมีติดกับบอร์ดมาให้แบบพอเพียง-พอร์ท LAN จะมีแบบ 10/100 และ 1000(กิกะบิทแลน)เลือกใช้กันตามสะดวกนะครับ-พอร์ทพริ้นเตอร์ พอร์ทเหล่านี้มักจะมีมาให้อย่างเพียงพอกับการใช้งานเสมอครับ
6.การเลือกวัสดุการผลิตส่วนประกอบของเมนบอร์ด จะประกอบไปด้วยแผ่นวงจรหรือที่รียกกันว่าแผ่นปริ๊นท์-Capacitor(คาปาซิเตอร์)ตัวเก็บประจุ มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกหุ้มด้วยพลาสติกด้านอกแต่ความจริงแล้วข้างในเป็นกระดาษชุบสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าเวลาใช้ไปนานๆ จะเกิดอาการบวม จนถึงระเบิดก็มีในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆจะหันไปใช้ คาปาซิเตอร์แบบใหม่ที่เป็นกระป๋องอลูมีเนียมแทน นอกจากจะมีอายุการใช้ที่นานกว่าแบบเดิมแล้ว ยังสามารถเก็บประจุได้ดีกว่า การั่วไหลของประจุน้อย ลดความร้อนที่เกิดขึ้นและทนแรงดันได้สูงทำให้สามารถ Over Clock ได้เสถียรขึ้นในสภาพที่ป้อนแรงดันสูงๆคาปาซิเตอร์รุ่นใหม่นี้เรียกว่า Solid Capacitor

-Choke ตัวสำรองไฟ เป็นเสมือนหม้อแปลงขนาดเล็กคอยสำรองไฟเพื่อจ่ายไฟให้กับวงจรย่อยในเมนบอร์ดตัวสำรองไฟรุ่นเก่าจะเป็นแกนโลหะพันด้วยทองแดง ซึ่งเกิดความร้อนสูง การนำกระแสไฟฟ้าไม่ดีเท่าที่ควรจึงมีการพัฒนารูปแบบใหม่ขึ้นมาเรียกว่า MOSFET จะใช้เปลี่ยนจากแกนโลหะเป็นแกรเฟอร์ไรท์ที่มีประสิทภาพดีกว่าแบบแกนโลหะและ หุ้มด้วยกล่องขนาดเล็กอย่างดีไม่เห็นด้านใน
-ภาคจ่ายไฟ หากเป็นเมนบอร์ดทั่วไปคงไม่มีปัญหาเพราะเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้วแต่บอร์ดที่ ต้องยัดอุปกรณ์แรงๆ มีการเรียกใช้ไฟฟ้ามหาศาล จึงจำเป็นจะต้องมีภาคจ่ายไฟที่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอต่อความต้องการในทันที เมนบอร์ดบางตัวมีภาคจ่ายไฟ8เฟสเลยก็มีแต่ถามว่าภาคจ่ายไฟหลายๆเฟสดีไหม ตอบว่าดีที่ไม่แย่งกันออกมาแบบเฟสน้อยๆแต่ต้องดู Power Supply ด้วยว่าถ้าจ่ายไฟไม่พอจะมีกี่เฟสก็ไม่ช่วยอะไรครับ
7.ต่อเนื่องมาจากข้อ2เรื่องชิปเซ็ทความสามรถบางตัวของเมนบอร์ดที่เราไม่ได้ใช้งาน หากเราซื้อมาแล้วก็ถือว่าเสียตังซื้อมาเปล่าๆเช่น ฟังก์ชั่น MUlti GPU (Cross Fire / SLI) ซึ่งราคาเมนบอร์ดที่มีกับไม่มีฟังก์ชั่นนี้ ราคาจะต่างกันพอสมควรเลยหรือจะเป็น รุ่นOVER Clock ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้OVER Clock ก็หันไปใช้รุ่นธรรมดาดีกว่าเพราะราคาค่าตัวต่างกันหลายตังค์อยู่
ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า...การเลือกซื้อสินค้าอะไรสักอย่างหากศึกษาข้อมูลให้เข้าใจแล้วรับรองว่าคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปแน่นอนครับ
www.truecom.co.cc

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

RAM

Memory<หน่วยความจำ>


เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆซึ่งต้องคอยทำงานร่วมกับ CPU อย่าง
ไกล้ชิดตลอดเวลา ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลพักข้อมูล หรือคำสั่งต่างๆที่ใช้ประมวลผล
โดยจำแนกได้ออกเป็น 2 ลักษณะคือ หน่วยความจำสำรอง และ หน่วยความจำหลัก



***หน่วยความจำสำรอง คืออุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูลเก็บไว้ได้ โดยที่ไม่ตองมีไฟเลี้ยงก็ยังสามรถเก็บข้อมูลไว้ได้ เช่น CD-ROM Harddisk

***หน่วยความจำหลัก RAM RAM จะทำงานไกล้ชิดกับ CPU ตลอดเวลาทำหน้าที่ พักข้อมูล หรือคำสั่ง การประมวลผลต่างๆ คอยป้อนให้กับ CPU และต้องการไฟเลี้ยงตัวหน่วยความจำตลอดเวลา เมื่อไฟดับ หรือปิดเครื่อง ข้อมูลที่พักอยู่ในRAM จะถูกลบทิ้งไปเนื่องจากไม่มีไฟเข้าไปเลี้ยงนั่นเอง

***ประเภทของ RAM โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ Static RAMและ Dynamic RAM

Static RAM เป็น RAM ที่มีความเร็วในการทำงานสูงกว่า DRAM มาก นิยมนำไปทำเป็นหน่วยความจำแคช ใน CPU แต่เนื่องจากว่า Static RAM มีราคาแพง กินกระแสไฟมากจนทำให้เกิดความร้อนสูงและวงจรก็มีขนาดใหญ่ จึงไม่นำมาทำเป็น RAM

Dynamic RAM ทำจากวงจรที่ใช้การเก็บข้อมูลด้วยสถานะ มีประจุกับไม่มีประจุวิธีนี้จะใช้ไฟ น้อยกว่า SRAM มากแต่โดยธรรมชาติจะมีประจุไฟฟ้ารั่วไหลอยู่ตลอดเวลาดังนั้นเพื่อให้ DRAMเก็บประจุได้ตลอดเวลาจึงต้องมีวงจรอีกวงจรหนึ่งทำหน้าที่เติมประจุไฟฟ้าให้เป็นระยะๆซึ่งเราเรียกการเติมประจุนี้ว่า REFRESH หน่วยความจำชนิดนี้จะนำไปทำเป็นหน่วยความจำหลัก ในรูปแบบของชิปไอซี บนแผงโมดูลของหน่วยความจำซึ่งแรมปัจจุบันนี้เป็น DRAM ทั้งหมด
............................................................................................................

หลังจากวิชาการมามากมายแล้ว มาดูเบสิคพื้นๆกันบ้างดีกว่าว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้วท่านผู้อ่านสามารถเป็นเทพแรมได้โดยทันที
แรมแต่ละชนิด ตัวแผงแรมจะมีความสั้นยาว จำนวนขา และร่องบากไม่เหมือนกัน นับตั้งแต่แรมรุ่นแรกมาถึงปัจจุบัน และSlot ของแรมก็ออกแบบมาให้ใช้ได้ของใครของมันใช้ข้ามกันไม่ได้ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ ชนิดของแรมในปัจจุบัน ดูง่ายๆด้วยจำนวนขา

1-แบบ 30 Pin<ขา>
2-แบบ 72 Pin<ขา>
3-แบบ 168 Pin<ขา>SDRAM ขอพูดถึงแรมชนิดนนี้นิดนึง คือแรมชนิดนี้เป็นแรมรุ่นคุณปู่ หาได้ตามศูนย์ราชการทั่วไปตามชนบทนะครับ มันจะมีร่องบาก 2 ร่องมี 168 ขาใช้แรงดันไฟฟ้าที่ 3.3 โวลต์และบัสสูงสุดทำได้ที่150 MHz ปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ได้หายสาบสูญไปจากกรุงเทพและปริมณฑล ไปเรียบร้อยแล้ว -_-"
4-แบบ 184 Pin<ขา> DDR-SDRAM เป็นแรมบรรจุภัณท์แบบ TSOPมี 184ขา ใช้แรงดันไฟฟ้าที่ 2.5 โวลต์ รองรับ DualChannel
5-แบบ 240 Pin DDR2-SDRAMใช่ไฟเลี้ยงที่ 1.8 โวลต์ มี 240 ขา รองรับ DualChannel
6-แบบ 240 Pin DDR3-SDRAMสาเหตุที่แยก 240 Pin ออกมาก็คือ DDR3-SDRAMเป็นแรมยุคต่อไปครับ DDR2 กำลังจะถูกทดแทนด้วย DDR3-SDRAMที่มีประสิทธิภาพดีกว่า ซึ่งปัจจุบันนี้ราคา DDR3-SDRAM ก็ถูกลงมามากแล้ว
---------------------------------------- -

มาเจาะรายละเอียดของแรมที่มีใช้กันในปัจจุบันดีกว่า
DDR-SDRAM ในยุค SDRAM ได้แบ่งรุ่นของแรมออกตามความเร็วบัสเช่น 66 , 100 ,133 MHzในยุคSDRAM แบบ 168 Pinไม่ขอพูดถึงนะครับเนื่องจากล้าหลังมากแล้ว DDR-SDRAM 184 ขาหรือเรียกได้ว่า เป็นแรมแบบ DDRรุ่นแรกที่ออกมาเปลี่ยนแปลงวงการแรมเลยก็ว่าได้เนื่องจากแรมแบบ SDRAM ธรรมดานั้นใน 1รอบสัญญาณนาฬิกาสามารถรับส่งข้อมูลได้เพียงครั้งเดียว แต่ DDR-SDRAMสามารถรับส่งข้อมูลได้ถึง 2 ครั้งในรอบสัญญาณนาฬิกาเดียวก็เหมือนชื่อแหละครับ Double Data Rate เป็นแรมที่เราๆสามารถพบเห็นได้ตามเครื่องคอมพิวเตอร์ รุ่นเก่าๆประมาณ รุ่น Pentium4 กำลังดัง ตอนนี้ก็เก่าไปแล้วแต่ก็ยังใช้งานกันแพร่หลายอยู่เนื่องจากคอมพิวเตอร์รุ่นนี้เพิ่งจะถูกทดแทนด้วย CPU2คอร์+แรม DDR2เป็นแรมที่ใช้งานได้ดีในระดับหนึ่งครับไม่ว่าจาใช้เล่นเกมส์เบาๆ อย่าง CSหรือเกมส์ ออนไลน์<แต่ต้องปรับกราฟฟิคลงให้สมดุล>แต่หากจาใช้กับเกมส์ เอนจิ้นใหม่ๆอย่าง DMC4 Crysis หรือ COD4ก็หมดสิทธิ์นะคับ ใช้ไฟเลี้ยงที่ 2.5โวลต์

DDR2-SDRAMนับว่าเป็นมาตรฐานสำหรับยุคนี้ไปแล้วครับ หันไปทางไหนก็เจอแต่ DDR2ตัวชิปจะใช้บรรจุภัณท์แบบใหม่เป็นแบบ FBGA ซึ่งมีความต้านทานทางไฟฟ้าต่ำกว่าแบบ TSOPอีกทั้งยังสามารถออกแบบให้ชิป มีขนาดเล็กลงบางลง รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพอื่นๆที่ทำให้แรมDDR2เรียกได้ว่าก้าวกระโดดเลยทีเดียวเช่น การรวมเอา ODTเข้าไปไว้บนโมดูลของหน่วยความจำเพื่อลดสัญญาณรบกวน,การขยายสัญญาณเป็น 4bit Prefetch,Additive Latency และ Enhanced Register เป็นต้นใช้ไฟเลี้ยง 1.8 โวลต์ มี 240 Pin แผงแรมมี 1 ร่องบากและรับความจุสูงสุดได้ 4GBแรมDDR2 ทั่วๆไปจะมีไห้เลือกตั้งแต่ บัส 400-1066 MHz

DDR3-SDRAMเป็นแรมยุคถัดไปที่กำลังเข้ามาแทนที่ แรมแบบDDR2 ตัวบรรจุภัณท์ เป็น FBGA และมีความยาวแผงแรม จำนวนขา240 Pin เท่ากับ แรมแบบDDR2 แต่ ร่องบากจะไม่ตรงกันจึงไม่สามรถใส่ข้าม SLOT กันได้ ใช้ไฟเลี้ยงที่ 1.5โวลต์ รับแรมสูงสุดได้ที่ 4GBแต่ บัสจะสูงขึ้น ปัจจุบันมีบัสให้เลือกใช้ตั้งต่ 800-1600 MHz

ขอยกตัวอย่างแรมสักรุ่นหนึ่ง
Kingtons PC6400(DDR2-800) 512MB DualChannel 240Pin1.8 V. CL 4-4-4-12

Kingtons -เป็นแรมยี่ห้อ KingtonsPC6400 -แบนวิดธ์ 6400 MB/S เมกกะบิทต่อวินาที

DDR2-800 -เป็นแรมDDR2 บัส 800 MHz512MB -ขนาดหน่วยความจำ 512 MB <เมกกะไบต์>

DualChannel -รองรับการทำDualChannelคือใส่แรม 2แถวเพิ่มความเร็วระบบ

240Pin - จำนวนขา 240 Pin

1.8 V. -ใช้ไฟเลี้ยง 1.8 โวลต์

CL 4-4-4-12 - ค่าตัวเลข 4ตัวนี้คือค่าหน่วงเวลาของการส่งข้อมูลของแรม ในแต่ละครั้ง ยิ่งตัวเลขน้อย ยิ่งดีครับ จะทำให้แรมทำงานเร็วขึ้น
เซียนแรมหลายๆท่านจะดูละเอียดกว่านี้ครับเช่นดูเม็ดแรม<ชิปดำๆบนแรม>ว่ามาจากค่ายไหนผลิตวันไหน ล๊อตไหน ดูค่า CL ดูความละเอียดการประกอบ และอื่นๆอีกเพียบ ซึ่งผมก่ะดูไม่เป็น
บทส่งท้ายครับหากจะเลือกแรมประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือจะซื้อคอมใหม่หรือโน้ตบุคใหม่ก็ตาม แนะนำว่าเลือกแรม DDR2 667 MHz ขึ้นไปหากเมนบอร์ดรับ DDR3 ก็ซื้อยัดเข้าไปเลยครับซึ่งราคาตอนนี้ไกล้เคียงกับ DDR2มากแล้ว

หลายๆท่าน อาจจะสับสนตัวย่อครับ
SRAM = Static Random Access Memory

DRAM = Dynamic Random Access Memory

SDRAM = Synchronous Dynamic Random Access Memory

DDR = Double Data Rate

DDR2= Double Data Rate เจเนอเรชั่นที่2

DDR2-SDRAM = Double Data Rate Synchronous Dynamic Random Access Memory
อย่างงกันนะครับSRAM เป็นแรมแบบ สแตติค ซึ่งใช้ทำหน่วยความจำแคชครับDRAM ใช้ทำแรมเป็นแผงๆที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักที่เราๆใช้กันอยู่ ส่วน DRAM จะแยกออกเป็นรุ่นๆต่างๆนั้นก็ดูตามรุ่นนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

7 วิธีกู้ข้อมูลใน Harddisk

7 วิธีการกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ถ้าพูดถึงส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด

ในเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่คุณใช้งาน คุณคิดว่ามันคือส่วนไหนครับ?

บางคนอาจจะบอกว่าเป็นซีพียู เพราะมันคือตัวประมวลผลข้อมูลทั้งหมด

บางคนอาจจะบอกว่ามันคือแรม หรือบางคนอาจจะบอกว่ามันคือ

การ์ดจอแรงๆ ซักตัว แต่ผมว่า หลายคนมองข้ามส่วนประกอบที่สำคัญมาก

ไปส่วนหนึ่ง นั่นคือ “ฮาร์ดดิสก์” ยังไงล่ะครับ ทำไมน่ะเหรอ?

ก็เพราะว่าฮาร์ดดิสก์นั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลจนบางครั้งไม่สามารถตีค่าได้

เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ ผมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่จานแม่เหล็กอันบอบบาง

ที่หมุนไปหมุนมา แต่ผมกำลังหมายรวมถึงข้อมูลสำคัญๆ ของคุณที่อยู่ในนั้นด้วยนั่นเอง

โลกของฮาร์ดดิสก์คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฮาร์ดดิสก์นั้นถือว่าเป็นสื่อบันทึกข้อมูล

ที่จะต้องมีไว้ ประจำในทุกๆ เครื่องอยู่แล้ว เพื่อสำหรับเก็บข้อมูล

ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ลินุกซ์

หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ ก็ตาม รวมไปจนถึงโปรแกรมที่คุณต้องใช้ก็ต้องมีการติดตั้ง

ลงในเครื่องด้วยเช่นกัน และส่วนที่สำคัญที่สุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย

นอกเสียจาก “ข้อมูล” นั้นเอง ดังนั้นเมื่อดูจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า

ฮาร์ดดิสก์นั้นเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องเลย ก็ว่าได้

ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมันแล้วล่ะก็ อาจจะต้องนำตาตกเป็นแน่

พื้นฐานโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เพราะเป็นส่วน

ของจานเหล็กที่เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ทำให้มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลง

สนามแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นผิวจานได้ และนั่นก็คือที่มาของการบันทึกข้อมูล

โดยการเปลี่ยนแปลงสนามเหล็กให้การเป็นรูปแบบข้อมูลดิจิตอล

(0 หรือ1, เปิด หรือ ปิด) โดยหน้าที่นี้เป็นของหัวอ่าน-เขียน ซึ่งจะลอยอยู่

เหนือแผ่นจานแม่เหล็กเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เรียงกันอยู่

บนจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์จึงมีปริมาณมาก มายมหาศาล

โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากๆ ลองคิดดูซิครับว่าเราจะต้องมีจุดข้อมูล

ที่บันทึกบนจานแม่เหล็กกี่จุด จึงจะสามารถบันทึกข้อมูลได้ในระดับร้อยกิกะไบต์

หรืออาจจะถึงระดับเทราไบต์ และจุดเหล่านั้นจะต้องเล็กและเรียงชิดติดกันขนาดไหน

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์กลายเป็นชิ้นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนและบอบ

บางที่สุดชิ้นหนึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์เลย Platter หรือจากแม่เหล็ก

ที่ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลในฮาร์ดดิสก์

อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก็คือ ส่วนของแผงวงจรควบ

คุมการทำงาน ซึ่งส่วนนี้จะคอยทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อและรับ-ส่งข้อมูล

กับคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งการควบคุมหัวอ่านเขียนให้สามารถบันทึกข้อมูล

ได้อย่างถูกต้องด้วย โดยเจ้าแผงวงจรนี้ก็จะมีหน้าตาเป็นแผงวงจรแปะติดกับ

ตัวฮาร์ดดิสก์มา มีชิปคอนโทรลเลอร์และแรมซึ่งทำหน้าที่เป็น Buffer ให้

กับการส่งข้อมูลด้วย ถ้าหากแผงวงจรควบคุมนี้เกิดเสียหายขึ้นมา ก็จะทำให้

ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถทำงานได้เช่นกันครับ

จะเอาอะไรมากู้ข้อมูลเวลาที่เราลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว ข้อมูลต่างๆ

ก็ควรจะต้องหายไปถูกต้องไหมครับ แล้วคุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าในเมื่อข้อมูลต่างๆ

มันหายไปแล้ว แล้วมันถูกกู้คืนกลับมาได้อย่างไร ความจริงแล้วคอมพิวเตอร์นั้นแอบ

ขี้โกงเราอยู่เหมือนกันครับ เนื่องจากสื่อบันทึกข้อมูลอย่างฮาร์ดดิสก์เองก็จะทำงาน

หรือเก็บบันทึกข้อมูล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กบนจานเพื่อบันทึกค่า

ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเขียน-อ่านอยู่พอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการลบข้อมูล

ข้อมูลต่างๆ จึงไม่ได้ถูกลบไปจริงๆ แต่จะถูกมาร์กเอาไว้ในระบบไฟล์ว่าข้อมูล

ในส่วนนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว ทั้งที่จริงแล้วข้อมูลก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมันอยู่

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราสร้างไฟล์ 1กิกะไบต์ จึงช้ามาก

ในขณะที่ลบไฟล์ 1กิกะไบต์ นั้นเร็วจนแทบมองไม่ทันกันเลยทีเดียว

ดังนั้นแล้วข้อมูลต่างๆ ของเราก็อาจจะยังคงอยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้

นั่นหมายความว่าเรายังพอมีสิทธิที่จะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดไว้ให้กลับคืนมา

ดังเดิมได้อยู่ และนี่คือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คุณได้ข้อมูลสำคัญๆ คืนมา




1.กู้ไฟล์ที่เผลอลบไปเคยเป็นไหมครับเวลาที่เราทำงานอยู่แล้วรีบๆ บางครั้ง

เราก็อาจจะเผลอกดลบไฟล์งานเอกสารสำคัญๆ ของเราไปด้วย ซึ่งคุณอาจจะบอกว่า

ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อสั่งลบไปแล้ว มันก็จะไปอยู่ในถังขยะหรือว่าเจ้า Recycle Bin แทน

จริงอยู่ครับว่าไฟล์ที่ถูกลบไป มันจะถูกย้ายไปไว้ในถังขยะ แต่สำหรับคน

ที่ต้องการทำงานแบบรวดเร็วจนติดเป็นนิสัย ก็เลยลบข้อมูลอย่างรวดเร็ว

(Shift+Del) งานนี้ข้อมูลของคุณไม่ได้อยู่ในขยะแน่นอนครับ นอกจากนี้

กรณีที่คุณเผลอลบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ถังขยะจะสามารถรับ

ได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไฟล์ของคุณจะได้รับสิทธิในการลบข้อมูลไปเลยโดย

ไม่ต้องผ่านถังขยะด้วยเช่นกัน

ขนาดถังของ Recycle Bin ที่คุณกำหนดไว้อาจจะไม่ใหญ่เพียงพอ

ทำให้ไฟล์ถูกลบไปเลยก็ได้

คราวนี้จะทำยังไงดีล่ะครับ ในเมื่อไฟล์ที่เราลบไปไม่ได้อยู่ในถังขยะอีกแล้ว

ใจเย็นๆ ครับ เหตุการณ์มันยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น อย่างที่เราบอกไว้ครับ

ว่าข้อมูลของคุณจริงๆ นั้นยังไม่ได้ถูกลบไปไหน แต่ยังคงถูกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์อยู่

ซึ่งในตอนนี้ผมขอพูดถึงการกู้ในลักษณะนั้นไว้ภายหลังเนื่องจากเป็นกระบวนการ

ที่ค่อนข้างเสียเวลานานครับ ในเมื่อเรารู้ว่าเราเพิ่งจะลบไฟล์ไปเมื่อตะกี้นี้เอง

ดังนั้นวิธีการกู้ที่ง่ายที่สุดก็ต้องเป็นโปรแกรมประเภท Undeleted

ทั้งหลายที่พอจะช่วยคุณได้ แต่ข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็คือคุณจะต้อง

ติดตั้งโปรแกรมก่อนที่คุณจะลบ ไฟล์นะครับ

หลักการทำงานของโปรแกรมประเภทนี้อยู่ที่การคอยสอดส่องว่าคุณมีการทำงานกับ

ไฟล์อะไรบ้าง มีการลบไฟล์อะไรไปบ้าง แล้วมันจึงแอบเก็บข้อมูลของไฟล์

ที่คุณลบเอาไว้เอง จะว่าไปมันก็เหมือนกับเป็นการทำหน้าที่ Recycle Bin

อย่างลับๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งคราวนี้เราก็จะสามารถกู้คืนไฟล์ที่เราเพิ่งลบไป

ให้กับมาอยู่ในอ้อมอกของ เราได้เหมือนเดิมครับข้อจำกัดของรูปแบบ

การกู้คืนข้อมูลแบบนี้ก็คือโปรแกรมที่ใช้สำหรับการ Undeleted นี้จะต้องติดตั้ง

โปรแกรมลงไปก่อน เพื่อที่จะจะได้ให้มันคอยตรวจสอบไฟล์ที่เราเพิ่งสั่งลบไป

และคอยเก็บข้อมูลสำรองเอาไว้ให้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว

คุณก็จะต้องยอมเสียพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของ

ไฟล์ บางโปรแกรมกินพื้นที่เยอะ เพราะใช้วิธีการแบ็กอัพไฟล์เอาไว้เลย

หรือบางโปรแกรมอาจจะใช้วิธีการเก็บ Log การลบไฟล์เอาไว้ แล้วสั่งถอดมาร์ก

ที่ระบบปฏิบัติการได้ทำไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นไฟล์ที่ถูกลบ ออกไปก็จะกินพื้นที่น้อยกว่า

แต่มันก็จะคล้ายๆ กับการกู้ข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่เรากำลังจะพูดในส่วนต่อๆ ไปอยู่ดี



-----2.ฟอร์แมตไดรฟ์ไป จะกู้กลับมาได้ไหมสำหรับผู้ที่ชอบลงโปรแกรมเอง

หรือติดตั้งระบบปฏิบัติการเอง (อย่างผมเป็นต้น) และมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ

ไว้หลายๆ ตัว (มีหลายไดรฟ์) คงจะมีบ้างที่เกิดฟอร์แมตผิดไดรฟ์

หรือถ้าจะให้ดูใกล้ตัวกว่านั้นอาจจะเป็นกรณีที่ว่าคุณต้องการฟอร์ แมต

ลงวินโดวส์ใหม่อยู่แล้ว หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ล้างเครื่อง” หลังจากสั่งฟอร์แมต

และเตรียมตัวจะลงระบบปฏิบัติใหม่นั้นนึกขึ้นมาได้ว่ายัง มีไฟล์งานสำคัญ

ที่ยังไม่ได้แบ็คอัปอยู่ งานนี้จะทำยังไงล่ะเนี่ยะ ฟอร์แมตก็ทำไปแล้ว

แถมโปรแกรม Undeleted ก็ช่วยไม่ได้อีกต่างหาก

ฮาร์ดดิสก์ที่มีพาร์ทิชันหลายอัน บางครั้งคุณอาจจะเลือก Format ผิดไดรฟ์บ้าง

ก็เป็นได้

โปรแกรม GetDataBack ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับการกู้ข้อมูล

โดยการสแกนฮาร์ดดิสก์ในทุกๆ ตารางนิ้วงานนี้มีอะไรที่พอจะช่วยคืนชีพ

ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกฟอร์แมตไปแล้วได้หรือไม่ คำตอบก็คือมีครับ

เพราะอย่างที่เราบอกไว้ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เราสั่งลบไปนั้นไม่ได้มีการถูกลบไปจริงๆ

เพียงแต่จะเป็นการมาร์กเอาไว้ว่าข้อมูลนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว การฟอร์แมตก็คล้ายๆ กัน

โดยเฉพาะการฟอร์แมตแบบรวดเร็ว (Quick Format) ด้วยแล้ว มันก็เหมือนกับการลบ

ไฟล์ทุกไฟล์ออกไปจากไดรฟ์นั้นเองครับ ในขณะที่การฟอร์แมตแบบเต็ม (Full Format)

ดูจะเป็นอะไรที่สาหัสกว่า แต่ก็สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้อยู่ดี เพราะข้อมูลที่ถูกสั่งลบนั้น

ผ่านการลบแบบลวกๆ จึงยังทำให้เห็นเค้าโครงของข้อมูลเดิมอยู่โปรแกรมที่

ใช้ในการกู้ข้อมูลในลักษณะนี้ก็มีอยู่หลายตัวทีเดียวอย่างเช่น GetDataBack

ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งเลยทีเดียว งานนี้มันจะคอย

สแกนหาข้อมูลต่างๆในฮาร์ดดิสก์ของคุณทั้งหมด โดยไม่สนข้อมูลจากระบบไฟล์

ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นข้อมูลที่ระบบปฏิบัติการมองไม่เห็นหรือก็คือข้อมูล

ที่ถูกลบไปแล้วนั่นเองครับข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็มีอยู่เหมือนกันครับ

เพราะใช่ว่ามันจะสามารถกู้ได้ทุกอย่างที่ขว้างหน้านะครับอย่างแรกเลยก็คือ

มันไม่สามารถกู้ข้อมูลที่ถูกเขียนทับไปแล้วได้ เนื่องจากมันอาศัยการกู้จากเศษข้อมูล

ที่หลงเหลืออยู่ในดิสก์

ดังนั้นถ้าหากว่ามีการเขียนข้อมูลทับในจุดที่มีข้อมูลไปแล้ว ข้อมูลส่วนนั้นๆ

ก็จะไม่สามารถกู้คืนได้นะครับ อย่างเช่นหลังจากฟอร์แมตไปแล้วอาจจะสามารถ

กู้คืนได้ครบทั้งหมด แต่ถ้าติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ทับลงไปแล้วก็อาจจะทำให้

ข้อมูลบางส่วนไม่ สามารถกู้คืนมาได้อีกกรณีหนึ่งที่ไม่สามารถกู้คืนได้

ก็คือกรณีของการ Low Level Format ซึ่งถือว่าเป็นการฟอร์แมตที่ล้างข้อมูลได้

อย่างสะอาดที่สุด เพราะจะมีการจัดรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กใหม่

โดยใช้หลักการเขียนข้อมูลที่เป็น 1 และตามด้วย 0 ไปลงในทุกๆ Sector ข้อมูล

ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า หรือพูดง่ายๆ

ก็คือถูกเขียนทับด้วยข้อมูลเปล่าทั้งหมดนั้นเอง ดังนั้นถ้า Low Level Format

ไปแล้วก็หมดสิทธิครับ แต่ถึงอย่างไรคุณก็คงจะไม่ได้ทำ Low Level Format

บ่อยอยู่แล้วจริงไหมครับ



-----3.กู้พาร์ทิชันที่เสียหายความแน่นอนคือความไม่แน่นอนครับ บางวันคุณอาจจะตื่นขึ้นมา

จากฝันร้าย มาเจอฝันร้ายกว่า เพราะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วบูตไม่ขึ้น

รวมถึงยังไม่สามาถเข้าไปเอาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อีกด้วย

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นไปได้ทั้งจากฮาร์ดแวร์ (ฮาร์ดดิสก์เสียไปเลย)

หรืออาจจะเป็นจากซอฟต์แวร์ซึ่งก็คือเป็นเพียงแค่โครงสร้างข้อมูลของไดรฟ์

หรือพาร์ทิชันเสียหาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเสียด้วยส่วนใหญ่ปัญหา

ที่เป็นสาเหตุทำให้พาร์ทิชันสำหรับเก็บข้อมูลของคุณเกิดปัญหา ขึ้นก็คือ

การเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบไฟล์ ซึ่งเจ้าระบบไฟล์นี้จะเป็น

โครงสร้างข้อมูลที่ชี้ไปยังตำแหน่งของข้อมูลจริงๆ ที่อยู่บนไดรฟ์

คงพอนึกออกใช่ไหมครับว่าถ้าเกิดความเสียหายที่ตัวข้อมูล มันก็อาจจะทำให้

ข้อมูลหายเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดความเสียหายที่ระบบไฟล์ ข้อมูลทั้งหมด

ภายในไดรฟ์ก็จะได้รับผลกระทบไปหมดเลยเครื่องมือที่จะมาช่วยคุณ

ในการแก้ไขปัญหานี้ก็จะเป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ใช้ ในการจัดการ

กับพาร์ทิชันอย่างเช่น Partition Magic ซึ่งนอกจากความสามารถ

ในการสร้าง ลบ ย่อ ขยาย ขนาดของพาร์ทิชันแล้ว มันก็ยังสามารถจะซ่อมแซม

โครงสร้างของพาร์ทิชันหรือระบบไฟล์ให้กับคุณได้อีก ด้วย

โปรแกรม Partition Magic โปรแกรมโปรคู่มือนักกู้ข้อมูลมืออาชีพ

โปรแกรม Active partition recovery เครื่องมือดีๆ ที่ใช้กู้พาร์ทิชันทั้งอันได้

นอกจากนี้ยังมีกรณีของการลบพาร์ทิชันผิด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่า

แบ่งพาร์ทิชันไว้จำนวนมากแล้วเกิดความสับสนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อ

ไดรฟ์มันเปลี่ยนไปในแต่ละระบบปฏิบัติการ ก็ส่งผลให้ข้อมูลในนั้นหายไปหมดด้วยเช่นกัน

ซึ่งในรูปแบบเช่นนี้ก็มีโปรแกรมที่สามารถกู้คืนพาร์ทิชันที่ถูกลบไปได้อยู่

เหมือนกัน เช่น Active Partition Recovery ซึ่งมันจะสแกนดูว่า

เราเคยมีการสร้างพาร์ทิชันอะไรไว้ จากนั้นมันก็จะกู้คืนสถานะของพาร์ทิชัน

ระบบไฟล์ และไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เคยอยู่ในพาร์ทิชันให้กลับคืนมาเหมือนเดิมครับ

เช่นเดียวกับการกู้ข้อมูลที่ได้กล่าวมาก่อนแล้ว นั่นก็คือการกู้จะสำเร็จได้

ก็ต่อเมื่อพื้นที่ข้อมูลนั้นๆ ยังไม่ได้ถูกเขียนทับด้วยข้อมูลใหม่ครับ

ดังนั้นการกู้คืนพาร์ทิชันนั้นก็ยังสามารถทำได้

ถ้าคุณยังไม่ได้สร้างพาร์ทิชันใหม่ขึ้นมาทับ หรืออาจจะมีการสร้างพาร์ทิชันใหม่ได้

แต่ต้องมีขนาดเท่าเดิมครับ ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากเท่าไหร่

โอกาสก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้นครับ อย่างเช่นสร้างพาร์ทชันใหม่

ขนาดน้อยลงกว่าเดิม แล้วฟอร์แมตด้วยระบบไฟล์ที่แตกต่างไปจากเดิม

แล้วลงระบบปฏิบัติการไปแล้วด้วย แบบนี้อาจจะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้แล้วล่ะครับ

ต้องทำใจอย่างเดียว



------4.กู้ฮาร์ดดิสก์ที่เป็น Bad Sectorเมื่อพูดถึง Bad Sector แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้หลายๆ คน

เกลียดมันที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันกำลังจะทำให้ข้อมูลของคุณเสียหายได้ในไม่ช้า

อย่างที่เราได้พูดถึงการทำงานของฮาร์ดดิสก์กันมาข้างต้นแล้ว

จะเห็นว่าฮาร์ดดิสก์เป็นส่วนประกอบที่มีความบอบบางมากทีเดียว

โดยเฉพาะส่วนของจานแม่เหล็กและหัวอ่าน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว

เรียกได้ว่าเส้นผมคนเรายังลอดผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว ดังนั้นหัวอ่าน

ก็อาจจะมีกระทบกับจานแม่เหล็กอยู่เหมือนกันในกรณีที่เกิดแรง

สั่นสะเทือนมากๆ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกแรงกระแทก นอกจากนี้การที่สารฉาบเคลือบผิวของ

จานแม่เหล็กนั้นเสื่อมสภาพ หรือสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้นๆ

ไม่สามารถบันทึกข้อมูล สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิด Bad Sector ขึ้นมาได้

ตามปกติเมื่อข้อมูลของเราโชคร้าย ไปอยู่ในส่วนที่เป็น Bad Sector พอดิบพอดี

ก็จะทำให้ข้อมูลส่วนนั้นๆ ไม่สามารถอ่านได้เลย เนื่องจากฮาร์ดดิสก์จะพยายาม

เข้าไปอ่านส่วนที่เป็น Bad Sector นั้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะสามารถทำได้

ในการกู้ข้อมูลกลับคืนมาก็คือการใช้โปรแกรม ช่วยอย่างเช่น

โปรแกรมสำหรับการสแกนดิสก์ ที่สามารถรองรับการทำ Surface Test ด้วย

เพื่อที่มันจะได้มองหาโปรแกรม Bad Sector ได้ และโปรแกรมเหล่านี้

ก็ยังสามารถที่จะกู้ข้อมูลที่อยู่ที่ Bad Sector ขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย

แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงด้วยเหมือนกันว่าไฟล์ที่กู้ขึ้นมานั้นเป็นไฟล์อะไร

และจะต้องยอมรับด้วยไฟล์ที่กู้คืนมาได้คงจะไม่ได้มีความสมบูรณ์ 100% นะครับ

พร้อมกันนี้โปรแกรมที่ว่านี้ยังช่วยมาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์

มีการเขียนข้อมูลลงไปที่ Bad Sector อีก

โปรแกรมสำหรับทำ Low level Format มีหลายตัว แต่ที่เหมาะคือ “ของผู้ผลิตเอง”

คุณสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ได้จากเว็บของผู้ผลิตเอง

แม้ว่าเราจะสามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่ใน Bad Sector ขึ้นมาได้แล้ว และ

ได้มาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีข้อมูลผู้โชคร้าย

ถูกเขียนลงไปอีก แต่ความน่ากลัวของมันก็ยังไม่หมด เนื่องจาก Bad Sector

อาจจะมีอาการลุกลามเพิ่มขึ้นได้อีกจากจุดเดิม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย

เราจึงควรจะต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุดูเสียก่อน โดยสิ่งที่เราพอที่จะสามารถ

แก้ไขปัญหา Bad Sector ได้ด้วยตัวเองก็คือการทำ Low Level Format ครับ

โดยการทำ Low Level Format นี้สามารถทำได้ผ่านทางซอฟต์แวร์พิเศษ

จากทางผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่คุณใช้ งานอยู่ โดยสามารถไปหาดาวน์โหลดได้

ตามเว็บไซต์แต่ละยี่ห้อได้เลยครับ

สำหรับการทำ Low Level Format นั้นสิ่งหนึ่งที่ควรจะระมัดระวังก็คือ

มันเป็นการจัดโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์ ในระดับของคลื่นแม่เหล็กเลย

ไม่ได้แค่การลบข้อมูลเหมือนกับการ Format ทั่วไป ที่สำคัญ

มันใช้เวลาในการทำงานนานมากๆ ด้วยโดยเฉพาะกับไดรฟ์ที่มีขนาดใหญ่อย่างไ

ดรฟ์ในปัจจุบันที่มีขนาด 200-500GB ด้วยแล้ว แทบจะต้องรอกันหลายชั่วโมงทีเดียว

และในระหว่างที่มันทำ Low Level Format อยู่นั้น ก็ไม่ควรมีการยกเลิกการทำงาน

ไปก่อนที่มันจะทำงานเสร็จ หรือห้ามปิดคอมพิวเตอร์โดยทันที

รวมถึงกรณีที่ไฟดับด้วยครับ ไม่งั้นมันอาจจะเป็น Bad Sector

ไปอย่างถาวรเลยก็ได้



------5.กู้ฮาร์ดดิสก์แบบ USBเดี๋ยวนี้สื่อบันทึกข้อมูลแบบที่เรียกว่า External Harddisk

กำลังเป็นที่นิยมมากเลยนะครับ เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาลต่อวัน

ที่ผู้คนต้องพกพากันในวันนี้ไม่ ใช่มีแค่เพลง MP3 ขนาดแค่กิกะไบต์กันแล้ว

แต่อาจจะมีไฟล์วิดีโอหรือข้อมูลอื่นๆ ในระดับหลายๆ กิกะไบต์เลยก็ได้

ดังนั้นสื่อบันทึกข้อมูลอย่าง Flash Drive อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน

ของผู้ใช้บางคน ดังนั้น External Harddisk แบบ USB จึงเข้ามาเติมเต็ม

ความต้องการให้ แต่ถ้าเกิดข้อมูลสูญหายขึ้นมาจะทำอย่างไรได้บ้าง

จริงๆ แล้วฮาร์ดดิสก์แบบ External ที่เรารู้จักกันมันก็เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ที่ใส่อยู่

ในเครื่องนั่นแหละครับ โดยถ้าเป็นแบบพกพาที่ไม่ต้องใช้ไฟจากอะแดปเตอร์

ก็จะเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้วเหมือนกับของโน้ตบุ๊ก ดังนั้น

เมื่อคุณเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เหล่านี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

มันก็จะมองเหมือนเป็นเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ธรรมดาตัวหนึ่งเลยการ

กู้ข้อมูลของ External Harddisk นั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก

การกู้ข้อมูลภายในเครือซักเท่าไหร่ แต่อาจจะแบ่งกรณีความเสียหาย

ได้ 2 กรณีคือ 1 เสียที่ตัวฮาร์ดดิสก์เอง ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับที่กล่าวมาข้างต้นว่า

คุณสามารถกู้ข้อมูลคืนได้ตั้งแต่การสแกนหาข้อมูลที่ ถูกลบไปจนไปถึงการแก้ไข

Bad Sector ที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ กับอีกส่วนหนึ่งก็คือความเสียหายที่เกิดขึ้น

กับตัวกล่องที่ใส่ฮาร์ดดิสก์

ซึ่งกล่องตัวนี้มีความสำคัญคือช่วยแปลงการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์

ทีเป็น IDE หรือ SATA มาเป็นแบบ USB หรือ Firewire นั่นเอง

ดังนั้นถ้ามันเกิดเสียหายขึ้นมาก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถใช้งานได้

สำหรับในกรณีที่ตัวกล่องเสียนั้น เราต้องดูก่อนว่าฮาร์ดดิสก์พกพาของคุณนั้น

สามารถที่จะแกะกล่องเพื่อเอา ฮาร์ดดิสก์ออกมาได้หรือเปล่า

ซึ่งถ้าคุณซื้อตามร้านประกอบคอมพิวเตอร์ก็อาจจะเป็นแบบที่ถอดได้

ในขณะที่ถ้าคุณซื้อเป็นแบบมียี่ห้ออย่างเช่น Seagate FreeAgent

หรือของยี่ห้ออื่นๆ แล้วก็อาจจะไม่สามารถแกะได้ อันนี้ก็ต้องส่งเคลม

กับศูนย์บริการอย่างเดียวเลยครับ แต่สำหรับแบบที่สามารถแกะได้นั้น

ก็เพียงแค่แกะฮาร์ดดิสก์ออกมาแล้วเชื่อมต่อ กับเครื่องคอมพิวเตอร์

ก็สามารถจะสั่งกู้ข้อมูลหรือก๊อปปี้ข้อมูลออกมาเก็บ ไว้ได้แล้วล่ะครับ



------6.ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กเสีย จะกู้ได้อย่างไรถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของเครื่องพีซีเสีย

การแก้ไขก็คงจะไม่ลำบากมากนั้น เพราะคุณสามารถเปิดเครื่องออกมา

เอาฮาร์ดดิสก์ไปปลั๊กกับเครื่องอื่นเพื่อกู้ ข้อมูลได้ ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์โน้ตบู๊คนั้น

จะมีความยุ่งยากมากกว่า เพราะนอกจากคุณจะแกะฮาร์ดดิสก์ออกมาได้

อย่างยากลำบากแล้ว ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กยังไม่เหมือนกับฮาร์ดดิสก์

บนเครื่องพีซีอีกด้วย นอกจากมีขนาดที่เล็กกว่าแล้ว ยังมีพอร์ตสำหรับ

ต่อสายที่ไม่เหมือนกันด้วย (ยกเว้นฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ที่เหมือนกันและ

สามารถใช้งานร่วมกันได้) ดังนั้นคุณจึงต้องหาสายสำหรับแปลงสัญญาณ

จากฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กมาเป็น IDE สำหรับเครื่องพีซี หรืออาจจะแปลง

ไปเป็น USB เลยก็ได้เช่นเดียวกัน

ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กกับเดสก์ท็อป มีความแตกต่างกันทั้ง

ขนาดและพอร์ตการเชื่อมต่อสายแปลงฮาร์ดดิสก์ IDE

เป็น USB ซึ่งสามารถใช้ได้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5” และ 3.5”

แม้ว่าหัว IDE ของฮาร์ดิสก์โน้ตบุ๊กจะคล้ายกับเดสก์ทอป

แต่ว่าก็ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะหัวมีขนาดเล็กว่า

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มี External Harddisk อยู่แล้ว

และเป็นแบบกล่องที่สามารถแกะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ภายในได้

ก็คือการถอดฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กออกมาแล้วเอาฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กที่เสียใส่

กลับเข้าไปแทน ด้วยวิธีการนี้ก็จะเป็นเหมือนกับการกู้ข้อมูล

จาก External Harddisk อย่างที่เราได้เคยพูดไป

ในหัวข้อก่อนหน้ายังไงล่ะครับ



-----7.จะกู้อย่างไรในเมื่อฮาร์ดดิสก์ Detect ไม่เจอข้อผ่านๆ มาทั้งหลาย

เป็นการกู้ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลง

อินเทอร์เฟซด้วยอะแดปเตอร์เล็กน้อยซึ่งหมายความ ว่าสภาพฮาร์ดดิสก์

ยังทำงานได้ดีอยู่ แต่สำหรับหัวข้อสุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงกรณีที่

ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้เลย หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ

คอมพิวเตอร์มองไม่เห็นว่ามีฮาร์ดดิสก์ต่ออยู่ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เลย

แบบนี้ก็แย่นะซิครับ เพราะโปรแกรมอะไรก็คงไม่สามารถจะกู้ข้อมูล

ในฮาร์ดดิสก์กลับมาได้เลย

สาเหตุของการที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้นั้นมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน

แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเกิดจากแผงวงจรควบคุมที่อยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์นั้นแหละ ครับ

เพราะมันรับผิดชอบในการติดต่อและรับ-ส่งข้อมูลกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว

ดังนั้นถ้าแผงวงจรเสีย ก็แปลว่าคุณก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่

ในจานแม่เหล็กได้อีกเลย ทางเดียวที่สามารถแก้ไขได้ก็คือทำให้แผงวงจร

กลับมาทำงานได้ดังเดิม ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน

ก็จะกลับมาสู่อ้อมอกคุณอีกครั้ง

การจะซ่อมแผงวงจรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่ เพราะว่ามันละเอียดอ่อน

เกินกว่าจะไปซ่อมเองได้ ทางที่ได้ผลมากกว่าก็คือ “การเปลี่ยน” ครับ

ใช่แล้วครับ เราสามารถเปลี่ยนแผงวงจรควบคุมของฮาร์ดดิกส์ได้

เพียงแต่เงื่อนไขการเปลี่ยนก็คือ คุณจะต้องหาฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดเท่ากัน

ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน หรืออาจจะพูดว่าควรจะต้องเหมือนกัน

ทุกประการเลยก็ว่าได้ เพื่อให้แผงวงจร สามารถทำงานทดแทนตัวที่เสียไป

ได้อย่างสมบูรณ์ หลังกจากนั้นเราก็สามารถจะไขน็อต

เพื่อถอดเปลี่ยนแผงวงจรได้เลย โดยมันจะมีสายไฟที่ต่ออยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์

ซึ่งเป็นพอร์ตที่ถอดออกมาได้อยู่ และเป็นสายที่ค่อนข้างบางต้องใช้

ความระมัดระวังเล็กน้อย เพียงเท่านี้ถ้าโชคเข้าข้างคุณ ก็จะสามารถใช้งาน

ฮาร์ดดิสก์และดึงข้อมูลออกมาได้เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ยังอยู่ ในสภาพดีอยู่

เหมือนเดิมแล้วล่ะครับสรุป Backup ไว้

ไม่ต้องรอวัวหายสุภาษิต “วัวหาย ล้อมคอก” ยังคงใช้ได้อยู่

จนถึงปัจจุบันนะครับ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะสามารถกู้ข้อมูลต่างๆ

จากฮาร์ดดิสก์ได้มากเพียงใด แต่จะเห็นได้ว่ามันก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง

เช่นถ้าหามีการก๊อปปี้ข้อมูลทับลงไปในฮาร์ดดิสก์แล้ว

ก็จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้อีก หรืออย่างในกรณีที่ต้องมีการเปลี่ยน

แผงวงจรฮาร์ดดิสก์ โอกาสที่จะหาฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกันเจอนั้น

ก็คงจะมีไม่มากอย่างที่คุณคิด หรอกครับ โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าๆ

ดังนั้นการป้องกันข้อมูลที่สามารถรับประกันผลได้ดีที่สุดก็คือการแบ้กอัพ

นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการแบ็กอัพไปยังฮาร์ดดิสก์อีกลูกหนึ่ง การไรท์ข้อมูล

ที่มีอยู่ใส่ลงในแผ่นซีดีหรือดีวีดี (หลายๆ ชุดเพื่อความปลอดภัย)

โดยเฉพาะกับข้อมูลที่ไม่ค่อยได้มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ แล้ว ย่อมเป็นทางเลือกทีดีที่สุด


ข้อมูลอ้างอิงจาก ผู้เขียน: krootuuy2009

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

เทคโนโลยี 64 บิท VS 32 บิท

สวัสดีครับ.. บทความคราวนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สิ่งที่ผู้ใช้หลายๆคน กังขาอยู่เลยนะครับว่า CPU
หรือเรียกภาษาไทยกันคุ้นๆ ว่าโปรเซสเซอร์ ที่มีเทคโนโลยี 2 เทคโนโลยีในปัจจุบันคือ 64bit และ
32bit นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วเราควรจะใช้งานตัวไหนดี


ก่อนอื่น ผมก็ต้องขออธิบายก่อนนะครับ เทคโนโลยี 64bit นี้นั้นมีมานานแล้ว ในคอมพิวเตอร์ระดับสูง
พวกที่ใช้งาน Databaseที่ทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก หรืองานการคำนวนทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน
จนกระทั้ง AMD ได้นำเทคโนโลยีนี้ลงมาใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
ถือเป็นการเริ่มต้น เทคโนโลยี 64bit สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และทาง Intel ก็ได้ตามมาทีหลัง
และเทคโนโลยีนี้ก็อยู่บน เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลากว่า 1 ปีจนในที่สุดก็มาลงในโนตบุค
ซึ่งก็คือ AMD อีกเช่นกันที่เป็นคนเริ่ม ในชื่อของ AMD turion64 เอาเป็นว่าว่า CPU
ของโนตบุคในตลาดปัจจุบันนั้น มีตัวไหนบ้างที่ เป็น 64bit และตัวไหนบ้างที่เป็น 32bit ดังนี้

32 bit

Intel Celeron M
Intel Pentium M
Intel Core Solo
Intel Core Duo
AMD Mobile sempron


64 bit

Intel Core 2 Duo
AMD Turion64
AMD Turion64x2
AMD Mobile Athlon 64


โดย CPU ของทั้ง 2 ค่ายที่เป็น 64bit นี้ AMD จะใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า x86-64
ส่วน Intel จะใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า EM64T โดยชื่อเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ผ่าน
โปรแกรม cpu-z ในหัวข้อ CPU ตรงช่อง instruction ครับ ซึ่งเทคโนโลยี 2 ตัวนี้
จะแตกต่างกันภายในเล็กน้อยแต่ว่า โดยตัวคอนเซปแล้วจะเหมือนกันนะครับ

แล้วอะไรคือ 64bit? -- คำตอบอันนี้จะเป็นในส่วนของทางด้านเทคนิคนิดนะครับ คือ CPU ปกติ
จะมีความจำของตนเองไว้ใช้งานภายในขนาดหนึ่ง ซึ่งหน้าที่ของความจำนี้ก็คืออ้างอิงถึงคำสั่งที่จะใช้งาน
และอ้างอิงถึงข้อมูลที่จะมาใช้คำสั่งนั้น

โดยถ้าเป็น 32bit นั้นการอ้างถึงความจำแต่ละครั้งนั้น จะได้ข้อมูล
กลับมา 32bit (1 bit มีค่าได้ 2 รูปแบบคือ 1 ,0 เท่านั้น) แต่ถ้าเป็น 64bit
ก็จะได้ข้อมูลกลับมา 64bit ถ้าเรามาคำนวนดูว่า 64bit นั้นมีค่ามากกว่า 32bit ขนาดไหนก็คือ

32bit มีค่าประมาณ 4,000,000,000.-
64bit มีค่าประมาณ 18,000,000,000,000,000,000.-

จะเห็นว่า 64bit นั้นน้อยกว่า 32bit แบบเทียบกันไม่ได้ซึ่งด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้ CPU ประเภท 64bit นั้น
จะมีความสามารถสูงกว่า CPU 32bit เป็นอย่างมาก(โดยความสามารถนี้ไม่ได้แสดงออกมา
ทางด้านความเร็วอย่างเดียว แต่ว่าออกมาทางด้านปริมาณหน่วยความจำ
ความง่ายในการเขียนโปรแกรม และCPU สามารถทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นด้วย) แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นความแตกต่างอันนี้
ในปัจจุบันนั้นก็เพราะว่า CPU ที่เป็น 64 บิตนั้นจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพที่มีอยู่ก็ต่อเมื่อ

1-ระบบปฏิบัติการรองรับเต็มที่
2-โปรแกรมที่เราจะใช้งานรองรับ
3-driver ของอุปกรณ์ต่างๆ รองรับ


ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ล้วนแล้วแต่ยังมีปัญหาในการรองรับในปัจจุบัน เราจึงยังไม่จะยังไม่เห็นความแตกต่าง
ของโปรแกรมประเภท 32bit และ 64bit นักแต่ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
นับตั้งแต่ Window XP ได้ออก 64bit version สำหรับ CPU 64bit ออกมา,
Window Vista ที่ออกมาทั้งแบบ 32bit และ 64bit ,และโปรแกรมต่างๆที่เริ่มทยอยออก
เวอร์ชั่น 64bit กันออกมาแล้ว สิ่งเหล่านี้นับเป็นสัญญาณที่ทำให้แน่ใจได้ว่า ในอนาคต
การใช้งานประเภท 64bit คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้แน่นอน


ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่าง 64bit และ 32bit คือ

สามารถใช้แรมเพิ่มจาก เดิม 4GB เป็น 128GB (จริงๆแล้วซัพพอร์ตได้มากกว่านี้แต่ว่าถูกจำกัดไว้โดย Window)
โปรแกรมประเภท 64bit จะทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมตัวเดียวกันประเภท 32bit

(เงื่อนไข : โปรแกรม 64bit ทำงานบนระบบปฏิบัติการ 64bit และ โปรแกรม 32bit

ทำงานบนระบบปฏิบัติการ 32bit) แต่ไม่เห็นผลต่างนี้ในเกมปัจจุบัน
โปรแกรม 32 บิตสามารถรันบน CPU64bit ได้แต่ว่า โปรแกรม 64bit ไม่สามารถรันบน CPU32bit ได้
ต่อมาก็เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับผู้ที่จะซื้อโนตบุคนะครับ คือ เราสมควรจะซื้อ CPU ประเภทไหนกันแน่

ระหว่าง 32bit หรือ 64bit
คำตอบของคำถามนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ด้วยนะครับ ที่จะช่วยเลือกว่าเราจะซื้อ CPU ประเภทไหนดี

จุดแรกคือ CPU ประเภท 64bit ในปัจจุบันนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า ตัวที่เป็น 32bit ทุกตัว

แต่ว่าเรื่องการประหยัดพลังงานนั้น ถึงแม้ว่า CPU ประเภท 64bit จะมีเทคโนโลยีในการประหยัดพลังงานใหม่ๆ

เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นเก่าก็ตามแต่ว่าเนื่องจาก CPU เหล่านี้เป็นแบบ Dual-core จึงเป็นที่แน่นอนว่า

ย่อมกินไฟมากกว่า CPU ประเภท single-core แน่นอน
และอีกจุดนึงก็คือ CPU 64bit เหล่านี้มีราคาที่แพงกว่า CPU ประเภท 32bit

พอสมควรจึงเป็นตัวเลือกให้ตัดสินใจสำหรับผู้ใช้ได้
-->> ต่อไปเป็นการเลือก CPU จากการใช้งานนะครับ
สำหรับผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ หลักๆแล้วเป็นการใช้งานที่เบาๆ ไม่มีอะไรมาก เช่น ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ

ทำงานเอกสาร office ง่าย มีไว้เพื่อโอนไฟล์เพลงลง MP3 player หรือ

งบประมาณจำกัด(ต่ำกว่า 25,000 บาท) ก็ควรเลือกเครื่องที่ราคาถูก และแค่ใช้งานของเราได้ก็พอ

ผมแนะนำให้ใช้เป็น Celeron M นะครับเพราะว่าเพียงแค่นี้ก็สามารถรองรับการใช้งานได้สบายๆ แล้ว
สำหรับผู้ที่ใช้งาน นอกบ้าน และใช้โนตบุคเพื่อการพรีเซนสินค้า ฉายสไลด์ นำไปโชว์ผลงาน หรือพูดอีกอย่างก็คือใ

ช้โนตบุคเป็นเครื่องสำรองสำหรับการพกพาไปใช้แสดงผลงาน โดยที่ตนเองใช้งาน PC เป็นหลักอยู่แล้วก็ควรใช้งานโนตบุค

ที่ ไม่ต้องมีประสิทธิภาพสูงนัก เพราะว่าเป็นแค่การใช้งานชั่วครั้งชั่วคราว และเน้นทางด้านการประหยัดพลังงานซะมากกว่า

ผมแนะนำให้ใช้เป็น Celeron M ,Core Solo นะครับเพราะว่า CPU รุ่นนี้สามารถประหยัดพลังงาน

ได้มาก ใช้งานนอกสถานที่ได้เป็นเวลานาน
ต่อมาสำหรับผู้ใช้ที่ ใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางครับพวก วิศวกรรม ,ไฟฟ้า ,ตัดต่อวีดีโอ ฯลฯ นั้น

ผมแนะนำให้เลือก CPU ที่รองรับอนาคตเพราะว่าโปรแกรมเฉพาะทางเหล่านี้มีโอกาสที่เวอร์ชั่นต่อไป

ที่จะออกมาเป็น แบบ 64bit นั้นค่อนข้างสูงเพราะว่าโปรแกรมเหล่านี้ถ้าใช้งานในระบบ 64bit

จะทำงานได้รวดเร็วขึ้นมาก โดย CPU ที่แนะนำคือ Turion64 ,Turion64x2 ,Core2Duo

(ได้ทั้ง 2 รุ่นคือ t5xxx และ t7xxx)
สำหรับผู้ใช้งาน ระดับทั่วๆไป ที่มีงบประมาณกลางๆ ระดับ <45,000>

ที่จะให้โนตบุคนั้นใช้งานได้ไปอีกนาน และใช้โปรแกรมเล่นไปเรื่อย แบบว่าใช้งานกว้างๆ

นั้นผมก็ขอแนะนำเป็น CPU Turion64x2 และ Core2Duo ตระกูล t5xxx ครับ เ

พราะว่าประสิทธิภาพของ 2 ตัวนี้นั้นสามารถรองรับการใช้งานของโปรแกรมใหม่ๆ ไปได้อีกนาน

และด้วยตัวของมันเองที่รองรับการใช้งาน 64bit ทำให้สามารถรองรับโปรแกรมในอนาคตได้

สุดท้ายนะครับสำหรับผู้ใช้งานที่มีงบประมาณสูง (ระดับ >70,000 ขึ้นไป) ผมก็แนะนำให้เลือกใช้

CPU Core 2 Duo ตระกูล t7xxx นะครับเพราะว่า CPU ตระกูลนี้ได้รับการยอมรับเลยว่าเร็วที่สุด

ในปัจจุบันแล้ว และเราก็มีเงินเหลือเฟือที่จะเลือกใช้โนตบุครุ่นที่เราอยากได้ ถ้าไงแล้วก็เลือกรุ่นที่เร็วที่สุด

ไปเลยดีกว่า ครับคือการเลือกในข้อนี้นั้น ไม่ต้องพิจารณาอะไรมากครับ เพราะด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก

ทำให้เราสามารถเลือกเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดที่เราต้องการได้อยู่แล้ว ครับไม่คำนึงถึงการใช้งาน

เพราะว่าแน่นอนว่าความสามารถระดับนี้ย่อมทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ครับสำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี CPU ใหม่ที่เรียกว่า 64bit นี้จะทำให้ผู้ที่สงสัย นั้น

ได้หายข้องใจกันลงได้นะครับ หรือผู้ที่กำลังลังเลใจในการเลือกซื้อจะได้ สามารถเลือกซื้อได้อย่างสบายใจ

ไม่ต้องเก็บมานั่งคิดให้เครียดกันอีกต่อไป



ขอขอบคุณบทความจาก http://www.notebookspec.com/

CPU Intel 32 นาโนเมตร

Intel เปิดเผยเทคโนโลยีการผลิตโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตรเป็นครั้งแรกของโลก


จากการแถลงข่าวที่ทาง Intel ได้จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ซานฟานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเทคโนโลยีโพรเซสเซอร์ที่ลดลงจาก 45 นาโนเมตร
เป็น 32 นาโนเมตร โดยในการสาธิตประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ที่ทำการผลิตด้วย
เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้จะเป็นการทดสอบทางด้านของ Desktop (PC) และ
Laptop (Notebook) ก่อน โดยการผลิตโปรเซสเซอร์ Desktop และ Laptop
ด้วยเทคโนโลยี 35 นาโนเมตรนี้ ทาง intel ได้ตั้งชื่อให้ว่า “Westmere” (เวสท์เมียร์)
โดยจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 โดยขั้นตอนการผลิตโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตรนี้
จะส่งผลให้การทำงานของโปรเซสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทาง intel
ได้แจ้งว่า “จะทยอยนำโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในขั้นตอนการผลิน Westmere นี้
ไปใช้กับ Desktop , Laptop และ Saver ตามลำดับ”
intel ได้อธิบายถึงการทดสอบ CPU ในรูปแบบเทคโนโลยีการผลิต 32 นาโนเมตร
เป็นครั้งแรกของโลก!!!

ขั้นตอนในการผลิตโปรเซสเซอร์ด้วยเทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้ จะผลิตด้วยเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์
ที่มี Hi-K metal gate อยู่ด้วย Hi-K metal gate คืออะไร??
Hi-K เป็นเทคโนโลยีที่ Intel ได้พัฒนาขึ้นมาจากการผลิตทรานซิสเตอร์ โดยคุณสมบัติของเทคโนโลยีนี้
คือ จะช่วยลดการรั่วของกระแสไฟฟ้าภายในทรานซิสเตอร์ ที่มีผลต่อการออกแบบขนาดการผลิตที่เล็ก
และการใช้พลังงาน เมื่อเปรียบเทียบกับในรุ่นก่อน ๆ อย่าง 45 นาโนเมตรซึ่งใช้ เทคโนโลยี Hi-K นี้เช่นกัน
ในการผลิต จะเห็นได้ว่าด้วยขนาดที่เล็กลงทำให้การลงทรานซิสเตอร์เข้าไปในโปรเซสเซอร์ทำได้ง่ายขึ้น
มีผลทำให้การใช้พลังงานลดลงไปด้วย

คุณสมบัติของโปรเซสเซอร์ที่ใช้กระบวนการผลิต “Westmere”
เทคโนโลยี Intel Turbo Boost : เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเร่งการทำงานของคอร์ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในขณะนั้น
เพื่อเร่งประสิทธิภาพในการประมวลผลของโปรเซสเซอร์
เทคโนโลยี Intel Hyper-Threading (2 C 4 T)
แคชมีขนาดถึง 4 MB พร้อมทั้ง integrate Memory Controller (IMC)
รองรับ DDR 3 -2ch


เนื่องจากการผลิตด้วยเทคโนโลยี 32 นาโนเมตรนี้ทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับลงระบบกราฟิกในตัวเพื่อรองรับ
การทำงานของการใช้การ์ดจอแยกและสลับการทำงานระหว่างกราฟิกในตัวของโปรเซสเซอร์และการ์ดจอ
ตารางรหัส ของ Nahalem และ Westmere และรายละเอียดทั้งหมด


สวัสดีค๊าบ...............................................

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สร้างไฟล์ PDF ฟรีๆกันเถอะ

ห่างหายไปเกือบเดือนครับ....พอดีไป ตปท.มาอ้ะครับไปญี่ปุ่นมา3สัปดาห์
ทางบริษัทส่งไปรับเครื่องที่
ญี่ปุ่นเลยไม่ได้อัพบล๊อคเลย....มีเรื่องอยากเล่าไห้ฟังว่าบ้านเมืองเขาเจริญมากๆ...
สะอาดกว่าบ้านเราเยอะ..ทุกอย่างเป็นระเบียบหมดเรยแต่ด้วยความที่เจริญทางวัตถุ
สูงมาก...ความรู้สึกผมว่าเขาไม่ค่อยจะมีน้ำใจกันสักเท่าไหร่..คือแข่งขันกันทุกอย่าง
เป็นเงินเป็นทองหมดขนาดในโรงงานที่ผมไป น้ำเปล่ายังต้องซื้อกิน......
มาดูกันดีกว่าวันนี้มีอะไรมาฝากวันนี้จะกล่าวถึง PDF File....ก่อนอื่น
เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า PDF Fileคืออะไร มันก็คือไฟล์ เอกสารชนิดหนึ่ง
เป็นนามสกุล PDF ใช้กันอย่างแพร่หลายมากถ้าพูดถึง PDF File หลายๆท่าน
คงจะนึกไปถึงเจ้าของ PDF File ยักษ์ใหญ่อย่างAdobe เจ้าของต้นตำรับ PDF File
และการที่จะสร้าง PDF File ต้องซื้อครับเพราะ Adobe
มีฟรีแค่ตัวเปิด PDF File เท่านั้น......ความสามารถไฟล์ PDF มีมากมายหลายอย่าง
เช่น ทำหนังสือ อิเลคทรอนิคส์ แบบเปิดหน้าได้เปงร้อยๆหน้าที่หลายๆท่าน
เคยอ่านสร้างแบบ เขียนแบบ 3มิติ ใน Solid Works และอื่นๆอีกมากมาย
ที่โปรแกรมนี้ทำได้ครอบจักวาล..และที่สำคัญ ค่าย Adobe
ครองเจ้าโปรแกรม Flash Player บน Internetอยู่นะครับ และเสถียรที่สุดด้วย
แต่วันนี้เรามีทางเลือกไห้คนงบน้อยที่อยากสร้างไฟล์ PDF แต่ไม่อยากเสียตังค์
เรามีตัวสร้างไฟล์ PDF ฟรีๆมาแจกครับขอบอกก่อนว่า บทความนี้เป็นพรีวิวจาก
หนังสือ PCToday ครับเป็นการเทส จากโปรแกรมสร้างไฟลN PDF ฟรีๆ 5โปรแกรม
แล้วคัดตัวที่ดีที่สุดมาให้เราครับ ตัวสร้างไฟล์ PDF ตัวนี้มีชื่อว่าPDFCreatorเป็น
โปรแกรมสร้างไฟล์ PDF ที่พัฒนามาต่อเนื่องยาวนานและเป็นการพัฒนา
แบบ Open SOURCES มั่นใจได้เลยว่าเป็นโปรแกรมฟรีแน่นนอนและจะฟรีตลอดไป...
ไม่มีกั๊กความสามารถเก็บไว้แน่ๆเป็นโปรแกรมที่น่าใช้ที่สุดเพราะใช้กับภาษาไทยได้ดี
ไม่มีเพี้ยนเลยและที่สำคัญมีฟังก์ชั่นให้ใช้มากที่สุดในบรรดา 5โปรแกรมที่ทดสอบมา
และนอกจากจะเซฟไฟลื ออกมาเป็น ไฟล์ PDF แล้วยังสามารถเซฟไฟล์ออกมา
เป็น PNG - JPEG - Tiff - PS - EPS และอื่นๆอีกเยอะแยะไปหมดจะเทียบ
การเซฟไฟล์ที่หลากหลายก็เทียบได้กับAdobe Acobat เลยล่ะครับและที่สำคัญ
สามารถปรับไฟล์เวอร์ชั่นเอกสารให้เปิดบน Acrobatได้ด้วยครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวล
และเทคนิคบางอย่างจากการที่ผมเองได้ทดลองใช้มา การเซฟไฟล์ เวลาตั้งชื่อไฟล์
ต้องตั้งชื่อภาษาอังกฤษสั้นๆ มิฉะนั้น มันจะเซฟไฟล์แล้ว ERRORครับ
อีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนที่จะเซฟไฟล์ ออกมาเป็น ฟอร์แมต ต่างๆ ไห้เปลี่ยนชื่อเสียก่อน
อย่าให้ซ้ำกับที่เดิมนะครับ การแปลงไฟล์เอกสาร พวก Word EXEL หรือ
NotePad เองก็ทำได้ดีครับ ไม่มีเพี้ยนไห้เห็นเลยสุดยอดจริงๆ ทำงานได้ไวมากๆ
เฉลี่ยการแปลงไฟล์เอกสารประมานไฟล์ละ2วินาทีเท่านเอง
นอกจากนี้ ยังสามารถนำไฟล์ หลายๆไฟล์ มาสร้างเป็นไฟล์ เอกสารไฟล์เดียวได้ครัย
วิธีใช้ก็แสนจะง่าย ให้เราลากไฟล์เอกสารที่เราต้องการรวมมาไว้ในลิสต์
แล้วกด Ctrl+คลิกไฟล์เอกสารทั้งหมดให้เป็นแถบสีดำ จากนั้นไห้กด
ที่แถบ Menu Bar Document เลือก Combine
หรือจะคลิกที่ รูปแผ่นกระดาษซ้อนกัน 3แผ่น บนMenuBar ก็ได้ครับ
แล้วโปรแกรม มันจะ Run เอกสารออกมาเป็นไฟล์เดียว แล้วเราค่อยลงมือ
เซฟไฟล์ ออกมาครับ
จุดเสียอย่างเดียวของ PDFCreator คือการทำงานที่อืดนิดๆของไฟล์เอกสาร
ขนาดใหญ่ทาง เวลาเซฟไฟล์ อาจจะช้าไปบ้างเหมือนมันจะแฮงค์แต่ไม่ใช่ครับมัน
ทำงานอยู่แต่ถ้าเปงไฟล์เล็กๆ ก็แปปเดียวไวเหมือน Acrobatเลยแต่จากการใช้งาน
ที่ผมทดลองดูนะครับ แปลงไฟล์เอกสารเนี่ย 10 หน้าแปปเดียวครับกระพริบตาทีเดียวเองไวจิงๆเหมือนกด REFRESH ทีเดียวเครื่องผม CPU 2Coreด้วย
วิธีใช้ก็ง่ายๆครับแค่พิมเอกสารจากที่ไหนก็ได้ เช่นผมพิมพ์จาก Word แล้วสั่ง
เซฟไฟล์ออกมาเป็นไฟล์ PDF ผ่าน PDFCreator เท่านั้นเองหรือถ้า งง
ก็ลากไฟล์เอกสารที่เราต้องการจะทำ ไปใส่ในโปรแกรมแล้วกด SAVE ก็จบครับ

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

Nvidia Graphic Plus



หลังจากที่ปล่อยให้ ATI ปล่อย Radeon ซีรี่ส์ 4 ออกมาทำตลาดโดยที่ประสิทธิภาพของ Radeon HD ซีรี่ส์ 4 ก็กินขาดการ์ดของ Nvidiaวันนี้ยักษ์เขียว Nvidia กลับมาพร้อมกับแคมเปญใหม่ พร้อมสโลแกนที่ว่า"Nvidia Graphic Plus"ซึ่งNvidia ปล่อยประโยคเด็ด "Nvidia เป็นมากกว่ากราฟฟิคเพื่อใช้เล่นเกมส์"วันนี้เราจะมาดูรายละเอียดคร่าวๆก่อนว่า"Nvidia Graphic Plus"แท้จริงแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือใส่เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆเข้ามาบ้างมาดูกันครับ
******ความหมายของ "Nvidia Graphic Plus"ระบบประมวลผลทางฟิสิกส์(PhysX)ระบบเกมส์สามมิติเยี่ยงการดูหนัง IMAX (3D stereo)ระบบประมวลผมวีดีโอ (Video Processing)ระบบประมวลผลด้านภาพถ่าย (Image Processing) การที่จะเรียกว่า"Nvidia Graphic Plus"ได้นั้นต้องมีองค์ประกอบด้วยระบบทั้ง 4 ที่กล่าวไว้ข้างต้นครับโดยการ์ดที่รองรับ"Nvidia Graphic Plus"ได้นั้นจะเป็นNvidia GForce ซีรี่ส์ 8 ขึ้นไปครับ
****ระบบประมวลผลทางฟิสิกส์(PhysX)PhysX คือระบบฟิสิกส์ ต่างๆรวมไปถึงการตกกระทบของวัตถุต่างๆ การกระเด็น ของวัตุถุต่าง ภายในฉากให้เหมือนจริงโดยอ้างอิงจากแรงโน้นถ่วงของโลก
เช่นเศษหินเศษปูนที่ถูกระเบิดหรือถูกปืนยิงแล้วฟุ่งกระจายเป็นต้นเมื่อก่อน PhysX
จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการ์ดประมวลผลฟิสิกส์โดยเฉพาะอีกตัวหนึ่ง แยกต่างหาก
จากการ์ดจอ และก็มีเพียงค่าย AGEIA เท่านั้นที่ผลิตการ์ดฟิสิกส์
แต่ปัจจุบัน AGEIA ถูก Nvidia เทคโอเวอร์ไปแล้วทำให้การ์ด Nvidia G8 ซีรี่ส์
ขึ้นไปสามารถเปิดการประมวลผลPhysXได้โดยเพียงแค่โหลดไดร์เวอร์ที่ Nvidia
เตรียมไว้ติดตั้งเข้าไปก็สามารถใช้งานได้ทันที
****ระบบเกมส์สามมิติเยี่ยงการดูหนัง IMAX 3D (3D stereo)ระบบ 3D stereo
เป็นเหมือนระบบสามมิติของ IMAX แต่ถ้าใครไม่เคยชมIMAX มาก่อนขอ
อธิบายสั้นๆว่ามันคือ ระบบสามมิติทะลุจอนั่นเองโดยการใช้งานจำเป็นต้อง
มีอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า "GForce 3D visionActive Glasses และจอภาพที่
รองรับระบบ 3D Stereo ด้วยในมุมมองของเหล่าเกมส์เมอร์อาจจะดูไม่คุ้มค่านัก
แต่ปี 2009 นี้ระบบ 3D stereo จะถูกปัดฝุ่นใหม่แล้วบรรจุลงในการ์ด
ของ Nvidiaและตอนนี้เหล่านักพัฒนาเกมส์กำลังพัฒนาระบบนี้อยู่ด้วย
เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันไกล้นี้เราจะได้เล่นเกมส์ทะลุจอกันแน่ๆ

****ระบบประมวลผมวีดีโอ (Video Processing)/
ระบบประมวลผลด้านภาพถ่าย (Image Processing)
ทั้ง 2 ระบบนี้ขอรวมเป็นหัวข้อเดียวเพราะว่าจุดกำเนิดมาจากเทคโนโลยี CUDA
โดยเทคโนโลยี CUDA เป็น API ที่ใช้คำสั่งสั่งงาน GPU ให้ทำงานได้เหมือน
เป็นCPU อีกตัว ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว GPU จะทำงานเร็วกว่า CPU มากเมื่อทำงาน
ร่วมกับโปรแกรมที่สนับสนุน(เพราะมีจำนวนคอร์ที่มากกว่า)และการ์ดจอที่ใช้ได้ก็
ซีรี่ส์ 8 ขึ้นไปอีกแล้วคับท่านปลายปี 2008 ในส่วนของโปรแกรมที่สนับสนุน
ระบบVideo Processingยังมีไม่มากนัก ส่วนมากจะอยู่ในช่วงพัฒนาครับ
เพราะยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ระบบประมวลผลด้านภาพถ่าย (Image Processing)
ก็มี Adebe Creative Suits 4 ที่รองรับได้ ถ้าโปรแกรมสามารถซัพพอร์ท
ได้เต็มที่จะสามารถทำงานเกี่ยวกับภาพความละเอียดสูงได้ดีขึ้นเช่นภาพถ่าย
จากกล้อง DSLR ที่เป็นไฟล์ RAW เพราะโปรแกรมจะนำเอา OpenGL มาใช้งานร่วมด้วย
สรุปตอนนี้ก็พอจะมองเห็นกันลางๆแล้วครับว่าการ์ดรุ่นใหม่ๆที่ทาง Nvidia
จะขนออกมาสู้กับ ATI จะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วเทคโนโลยี
"Nvidia Graphic Plus" จะคุ้มค่าหรือแค่ "ราคาคุย"เอาไว้ถ้า Nvidia เปิดตัว
เมื่อไหร่ จะรีบนำมาพรีเซ้นท์ให้นะแต่จากที่ไปอ่านเจอ บ้างก็ว่าดีภาพสวยขึ้นมาก
บ้างก็ว่าไม่ดีหน่วงการ์ด ความร้อนสูงความเร็วการ์ดตก แต่ยังไม่มีพรีวิวการทดสอบแบบ
จริงๆจังๆเลยยังไม่อยากเอามาเล่าให้ฟัง.....แต่ตอนนี้...
ถ้าจะซื้อการ์ดสักตัว Radeon HD 4xxx นะครับเหตุผลน่ะหรือ??
แรง เร็ว ถูกตังค์ (แค่เนี้ย..พอป้ะ)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจากนิตยสาร Weekly Online

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

Flash Drive 64 GB

สีแดง 64 G เทียบกับสีขาว 4 G

เริ่มต้น…เปิดตัวโอะ โอะ โอ้ย...อะไรกันนี่ กับความจุใหญ่โตมโหฬารอะไรจะปานนี้

มีด้วยเหรอครับ งง (ผมเองยังงง <*:*>) ไม่น่าเชื่อว่าความจุอย่างแฟลชไดร์ฟ

จะสามารถขยายหน่วยความจำออกไปได้ไกลถึงเพียงนี้ ไกลสุดๆ ถึง 64GB ครับ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละครับ ว่ามันมีจริงๆ ปรากฏแล้ว ที่นี่ ที่เดียว กับเว็ป i3 ของเรา

เป็นที่แรก กับการลองของจริง (ที่ไม่เกี่ยวกับป๋อง กมล ทองพลับ) กับแฟลชไดร์ฟ

จาก Kingston ที่ได้รับมาในการทดสอบครั้งนี้ กับความจุขนาดมหึมา ใหญ่โตซะ ที่

สามารถใส่อะไรก็ได้ ที่ไม่มีวันเต็ม และไม่มีวันหมด (ขนาดฮาร์ดดิสก์ลูกเก่าที่บ้านผม

60GB ยังไม่เต็มเลยครับ เน้นเก็บโปรแกรมอย่างเดียว) อ้อ..ผมมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกครับ

อีกลูกขนาด 500GB ไว้เน้นลงวินโดว์ ถ้าจะว่าไปแล้วความจุขนาด 64GB

จะเปรียบเสมือนฮาร์ดดิสก์ขนาดหนึ่งลูกก็ยังได้ครับ ยิ่งปัจจุบันมีฮาร์ดดิสก์

แบบใหม่ ที่เค้าเรียกว่า Solid State Drive หรือเรียกย่อๆ ว่า SSD นั่นเองครับ

กับความจุขนาดนี้ ก็มีตั้งแต่ 8GB, 16GB, 32GB, 64GB เป็นต้น ซึ่ง

ขนาดความจุของ SSD นั้น ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแฟลชไดร์ฟ 64GB

จาก Kingston ครับ โดยรวมแล้วเหมาะสำหรับผู้ที่เก็บไฟล์ขนาดใหญ่

เป็นจำนวนมาก ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น

แล้วคุณละจะเก็บอะไรดี ประโยคนี้ไม่ต้องมัวคิดให้เสียเวลาเลยครับ

กับความจุขนาดใหญ่แบบนี้ ที่สามารถใส่อะไรก็ได้ตามแต่ใจเราต้องการ

ไม่ว่าไฟล์นั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เช่น ไฟล์ติดตั้งซอฟต์แวร์ ไฟล์

โหลดบิตทอร์เร้นต์ ไฟล์ติดตั้งเกมออนไลน์ จะยกโขยงกันมาทีเดียว

หรือทยอยกันมาก็ไม่หวั่น เช่น ไฟล์ติดตั้ง .exe อย่างเกมออนไลน์

เราสามารถจับใส่ได้ตั้งแต่เกม Dekaron, Luna Online, Raycity,

DotA-AllStars, FIFA Online 2, Freestyle, Hip Street, Kart Rider,

Pangya, Point Blank, Pucca Racing และ Sudden Attack เห็นมั้ยละครับ

มีแต่เกมที่น่าเล่นทั้งนั้นเชียว แบบนี้ก็สามารถพกพาไปไหนก็ได้ แบบว่า

นึกอยากเล่นเกมไหน ก็ลงติดตั้งได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาหาแผ่น Client

ให้ยุ่งยากอีกต่อไป หรือมัวเสียเวลารอกับการดาวน์โหลดจากเว็บไซต์

ที่อืดอาด ยืดยาด นานนับชั่วโมง




Kingston ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับหน่วยความจำระดับโลก

ประกาศเปิดตัว และจำหน่าย ยูเอสบีแฟลชไดร์ฟรุ่นใหม่

DataTraveler 150 (DT150) มาพร้อมความจุสะใจวัยโจ๋ขนาด 64GB

ที่ช่วยให้คุณจัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนบนไดร์ฟเพียงตัวเดียวเท่านั้น

หมดอุปสรรคจากการจัดเก็บข้อมูลไม่ได้อีกต่อไป โดยเป็นแฟลชไดร์ฟที่มี

ความจุสูงมากที่สุดในตอนนี้ มากกว่ายี่ห้ออื่นๆ ที่เคยเห็นมา

(อย่างตอนนี้ Kingmax กับความจุ 16GB เท่านั้นครับ) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ

จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงาน รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวเอาไว้

ในไดร์ฟเดียวกันได้สะดวก รวดเร็ว เพิ่มความสะดวกสบาย

พร้อมใช้งานได้ทันที มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลอื่นๆ เหลืออีกมากมาย

โดยผู้ใช้สามารถโอนถ่ายและใช้งานข้อมูลดิจิตอลต่างๆ ได้อย่างสะดวก

ไม่ว่าจะเป็นคลังเพลงในรูปแบบไฟล์ MP3 หรือจะคลังเพลงใน

รูปแบบไฟล์ Audio ที่มีขนาดใหญ่และกินพื้นที่มากก็ตาม หรือจะเก็บ

รูปถ่ายจากกล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดสูง นอกจากนี้ยังรวมถึง

ภาพวิดีโอ เอกสารทางธุรกิจจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ไม่หวั่น

รวมทั้งรายงานวิทยานิพนธ์ หรือแม้แต่ภาพเคลื่อนไหวที่ต้องใช้เนื้อ

ที่มากก็ตามกับ YouTube หรือ Clip VDO เอาเป็นว่าเก็บได้ครบ

ทั้งหมดโดยไม่ต้องเปลี่ยนแฟลชไดร์ฟตัวใหม่ ให้ยุ่งยาก เสียเวลา

และเสียเงินครับ


ผลทดสอบที่แสดงให้เห็นถึงความจุขนาด 4GB ใช้เวลาอ่านข้อมูลที่ 2.6ms

(ค่ายิ่งน้อยยิ่งเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว)ส่วนอัตรารับ/ส่งข้ิอมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 10.6 MB/sec




สนับสนุนรูปแบบไฟล์ประเภท FAT32



ถึงแม้ว่าความจุ 64GB ใช้เวลาอ่านข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 29.7ms มากกว่าตัว 4GBแต่อัตราการรับ/ส่งข้อมูลที่มากกว่าเท่าตัว 31.1 MB/sec






สนับสนุนรูปแบบไฟล์ประเภท NTFS



ปัญหาความจุ 64GB กับ Windows XP คือ ไม่สามารถ Format จากตัววินโดวส์ได้





แต่ขณะเดียวกันกับ Windows Vista กลับสามารถ Format จากตัววินโดวส์ได้

รูปร่างหน้าตาแฟลชไดร์ฟขนาด 64GB ที่เน้นลวดลายสีสันสะดุดตาและสวยงาม

ด้วยสีแดงตัดกับลายจุดดำ ที่ดูโดดเด่นและลงตัว เปรียบเสมือนจุดขายที่สำคัญ

ของ Kingston ครับ สำหรับการใช้งานนั้นก็ไม่ยากเลย เพียงคลิกแล้วลากเท่านั้น

ผมได้ทดลองโยนไฟล์จากแฟลชไดร์ฟขนาด 4GB ไปที่ 64GB

(ของ Kingston ทั้งคู่ครับ) ผลปรากฏว่าลื่นและเร็วที่สุด แต่ต้องใช้กับ

ระบบปฏิบัติการ Windows Vista เท่านั้นครับ ถึงจะเสถียร และไม่เกิดอาการ

Error ระหว่างการโอนถ่ายข้อมูลครับ ทั้งนี้จากการ Format แล้วพบว่า

สามารถเลือกประเภทของไฟล์ได้ ตั้งแต่ FAT, FAT32 และ NTFS

แต่ในทางกลับกันถ้าใช้กับ Windows XP จะเกิดอาการ Error ให้เห็นบ้าง

เป็นบางครั้ง บางเวลา และจะใช้ระยะเวลานานกับการโอนถ่ายข้อมูล

แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่สามารถเลือก Format จากตัววินโดว์ได้ โดยที่รูปแบบ

ไฟล์ก็ไม่ปรากฏให้เห็นครับ จากการทดสอบประสิทธิภาพความเร็ว

ของแฟลชไดร์ฟทั้ง 2 รุ่น 2 ขนาด ด้วยโปรแกรม HD Tune แฟลชไดร์ฟ

ขนาด 4GB มีอัตราการรับ/ส่งข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 10.6 MB/sec

(ขนาดเมกะไบต์ต่อวินาที) และเข้าถึงข้อมูลได้เร็วเพียง 2.6 ms เท่านั้น

รวมแล้วใช้พลังงานซีพียูเพียง 3.4% แต่แฟลชไดร์ฟขนาด 64GB

ไม่ได้ใหญ่แต่ความจุอย่างเดียว แต่มีอัตราการรับ/ส่งข้อมูลมากกว่า

ตัว 4GB มีอัตราการรับ/ส่งข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 31.1 MB/sec

(ขนาดเมกะไบต์ต่อวินาที) และเข้าถึงข้อมูลได้ช้ากว่า 29.7 ms

ที่ใช้พลังงานจากซีพียูถึง 7.7% จะให้ดีสำหรับ 64GB ตัวนี้ผมแนะนำ

ใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows Vista ครับ ด้วยประสิทธิภาพโดยรวม

ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สำหรับราคาขายนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 6,200 บาท

(ราคาตอนเปิดตัว) ถือว่าไม่แพงครับ สมเหตุสมผลกับขนาดความจุที่

มากถึง 64GB คุ้มค่าเลยทีเดียว สุดท้ายนี้รองรับระบบปฏิบัติการ

Windows Vista, Windows XP และ Windows 2000

(แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับ Windows ReadyBoost ครับ)

รวมทั้ง Mac OSX 10.3 และ Linux 2.6 นอกจากนี้ยังมาพร้อม

การรับประกันที่ยาวนานถึง 5 ปีเต็ม

ข้อมูลจำเพาะของ Kingston DataTraveler 150 + ความจุสูงสุด 64GB +

ขนาด กว้าง 77.9 มม. x ยาว 22 มม. x สูง 12.05 มม. +

อุณภูมิในการทำงาน 32º ถึง 140 องศาฟาเรนไฮต์

(0 ถึง 60 องศาเซลเซียส) + อุณภูมิในการเก็บข้อมูล -4º ถึง

185 องศาฟาเรนไฮต์ (-20 ถึง 85 องศาเซลเซียส) + ใช้งานง่าย

สะดวกสบาย ใช้ได้ทันทีเพียงเสียบเข้ากับพอร์ต USB+ พกพาสะดวก

ด้วยขนาดกะทัดรัด ที่พกใส่กระเป๋าได้ + รับประกันนาน 5 ปีเต็ม+

ราคาโดยประมาณ 6,200 บาท

ข้อดี+ สีสัน สะดุดตา สวยงาม เอกลักษณ์เฉพาะจาก Kingston+

ความจุขนาดใหญ่ 64GB ที่เก็บข้อมูลได้อย่างจุใจ+ รูปแบบกะทัดรัด

จับง่าย พกพาสะดวก+ ใช้ง่าย เพียงเชื่อมต่อก็ใช้งานได้ทันที

ด้วยพอร์ต USB ข้อสังเกต+ ราคาขณะเปิดตัว จะอยู่ที่ประมาณ

6,200 บาท+ ไม่รองรับฟังก์ชั่น Windows ReadyBoost

ข้อคิดส่วนตัวครับ

แฟลชไดรฟ์แบบเก่าความจุน้อยแต่เร็วกว่า แบบ64G อยู่ประมาณ 12 เท่า

แต่แบบ 64G ส่งข้อมูลได้มากกว่า 3 เท่า.....อันนี้ก็ต้อง มานั่งคิดกันล่ะครับ

ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน จะเลือกส่งทีละน้อยๆแต่เร็วจี๊ดๆ

หรืออยากได้ ส่งช้าๆ แต่ได้ทีละเยอะๆ..บางทีอาจจะมองที่การใช้งานด้วย

ล่ะครับ...ในราคาเปิดตัว 6 พันกว่าบาท.......................มันเท่ครับ...

แต่จะเอาคุ้มผมว่า Ex. HDD คุ้มกว่าเยอะครับ....ถ้ากลัวจะหนัก

ใช้ขนาด 2.5นิ้ว ความจุ 160 G 2.5นิ้ว ตอนนี้ 2200 บาทเอง

ถ้าเลือกยี่ห้อ ก็ +- 250 บาทเอง ส่วนตัว BOX Ex. ก็มีให้เลือกตั้งแต่

ราคา200- 1000 กว่าๆขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นการใช้งาน

บางตัวก็มีพอร์ทเล่น ไฟล์ วีดีโอ MP3 แล้วต่ออก TV หรือ

เครื่องเล่นอื่นๆ ผมว่าคุ้มกว่าครับ

ขอบคุณข้อมูลจาดเวป i3.in.th

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

ประกาศจากทางเวป

ขอประกาศเกี่ยวกับ Blog ซักนิดนะครับ
ขอเลื่อนวันขายสินค้า ออกไปถึงวันที่ 27 กพ. 2009 นี้นะครับ
เนื่องมากจากว่า...เศรษกิจไม่ดี
ทำให้การเดินงานติดต่อกับ ดีลเลอร์
เป็นไปด้วยความล่าช้า.....ต้องขออภัย ณ ที่นี้
แต่ยังไง ความรู้ใหม่ๆก็จะยังเอามาอัพเดทเรื่อยๆครับ

มีMusic VDO มาให้ดูคลายเหงาด้วย
อยากดูอะไรก็โพสต์มาได้นะ จะหามาให้ดู
ถ้าอยากดูเองก็ www.youtube.com

อยากให้แนะนำ Blog กันต่อๆไปครับ
มีคนติดตาม Blog มาคนนึง รู้สึกดียังไงไม่ถูก

การ์ดจอรุ่นใหม่ แรงเทพหรือหลอกขาย



ก่อนเราจะซื้อการ์ดจอควรนึกถึงอะไรบ้าง
แล้วอะไรที่มือใหม่มักจะ หลงกลคนขาย
แล้วอะไรที่ผู้ผลิตพยายามทำให้ สินค้าสามารถขึ้นราคา
แล้วแข่งกันกับคู่แข่งได้ วันนี้เรามาดูการเลือกซื้อการ์ดจอกันครับ
ต่อจากภาค 2
ถ้าไล่ลำดับมาจากเรื่องการ์ดจอ บทความแรก จะเข้าใจ
ได้ละเอียดนะครับ




****Interface(อินเตอร์เฟซ)
ก่อนจะหามาใช้งานเราต้องดูกันก่อนว่าเราอยากได้ การ์ด แบบใดเพื่อให้เข้ากับเมนบอร์ดเรา
ปัจจุบันมีเหลือเพียง 2 แบบเท่านั้นคือ PCI-Xpress 16x และ AGP 8x ซึ่ง
การ์ดแบบ AGP กำลังจะหายไปแล้วเนื่องจากความเร็วต่ำ จะเหลือก็เพียงเอาไว้อัพเกรด
คอมพ์รุ่นเก่าเท่านั้น ในคอมรุ่นใหม่ๆที่ออกมาปัจจุบันจะเป็น
สล็อตแบบ PCI-Express 16x กันหมดแล้วไม่มี slot AGP
มาให้ใช้งานกันอีกต่อไป ในส่วนของไฟเลี้ยงตัว
การ์ดหากเป็นรุ่นเก่าๆหน่อย หรือการ์ดใหม่รุ่นเล็กๆ จะใช้ไฟเลี้ยง
จาก Slot PCI เอง แต่หากเป็นการ์ดที่ต้องการไฟเลี้ยงเพิ่มจะมีช่องไฟเลี้ยง
เพิ่มเติมเข้ามา ส่วนมากจะเป็นหัว Molex แบบ 4 Pin และ 6 Pin

****AGP Interface
อินเตอร์เฟซ แบบ AGP นั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ
คือ AGP รุ่นแรก AGP 4x , AGP 8x ซึ่ง
AGP เวอร์ชั่นแรกนั้นมีความเร็วที่ 266 MB/Sec
หมายความว่า AGP 8x มีความเร็วเท่ากับ2.1 GB/Sec
Slot ของ การ์ด AGP 8x และ 4x ใช้ร่วมกันได้แต่ แบบรุ่นแรกใช้ร่วมกันไม่ได้ครับ
จุดสำคัญอีกอย่างที่ถือว่าเป็นข้อด้วยของการ์ดแบบ AGP เลยก็คือ
ความเร็วของการเชื่อมไม่ผกผันตามบัสของระบบ

****PCI Express Interface
สุดยอดอินเตอร์เฟซ ที่โคตรได้รับความนิยมในขณะนี้ PCI Express
Slot มี 240 Pinไอ้ที่เราใช้ๆการ์ดกันอยู่ทุกวันนี้ก็ PCI Expressกันทั้งนั้นอ้ะแหละ
ในเวอร์ชั่น 1.1 1xจะมีแบนด์วิดธ์เท่ากับ 250 MB/Sec
เกือบลืมไปนะว่ามันเอา PCI Express เวอร์ชั่น 2.0 ออกมาขายกันเกลื่อนไปแล้ว
และแบนด์วิดธ์ ของเวอร์ชั่น 2.0มีความเร็วเป็น2เท่า ของPCI Express 1.1
คือเท่ากับ 500 MB/Sec แล้วเรามาลองคิดดูว่าแบนด์วิดธ์ของ
PCI Express1.1 16xนั้นเท่ากับ 4GB/Sec
และใน PCI Express 2.0 16x เท่ากับ 8 GB/Sec
จากการติดตามข่าวของการ์ดจอมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ PCI Express 3.0
จะออกมาวางตลาอทันในช่วง ปี ค.ศ 2010 ซึ่งแบนด์วิธ์ 1x จะได้
เท่ากับ 1 GB/Sec และหากมันเป็น PCI Express 3.0 16x
แบนด์วิธ์ที่ได้จะเท่ากับ 16 GB/Sec 2เท่าของ เวอร์ชั่น 2.0 เลยนะเออ !

****การระบายความร้อนของตัวการ์ด
ปัจจุบัน GPU เองก็ร้อนมากขึ้นเช่นกันเนื่องมาจากการใส่ คาปาซิสเตอร์ เข้าไปจำนวนมาก
เพื่อประสิทธิภาพการประมวลผลที่ยอดเยี่ยมดังนั้นจึงต้องการการระบายความร้อนออกจาก
ตัวกร์ดโดยเร็ว โดยการระบายความร้อนมีให้เลือกระหว่าง ฮีตซิงค์พัดลมกับฮีตไปป์
การระบายความร้อนแบบฮีตซิงค์พัดลมจะระบายความร้อนได้ค่อนข้างไว แต่อาจจะมีเสียง
รบกวนอยู่บ้าง แต่แบบฮีตไปป์จะเงียบแต่การระบายความร้อนยังเป็นรองแบบแรกอยู่นิดๆ

****Hyper Memory / Turbo Cache
หลายๆท่านอาจจะคุ้นๆกันมาบ้างแล้วนะครับ บางท่านอาจจะมีข้องสงสัยว่าเอ..
แล้วมันเป็นอย่างไร อันไหนจะดีกว่ากัน อันที่จริงแล้วไอ้ตัวระบบ
Hyper Memory / Turbo Cache เนี่ยมันก็คืออย่างเดียวกัน
สาเหตุมันมีอยู่ว่าทาง ATI เรียกระบบแบบนี้ว่า Hyper Memory
ส่วนทางNvidia เรียกว่า Turbo Cache มันจะมีมาให้ในการ์ดราคาประหยัด
ซึ่งตัวการ์ดจะมีแรมบนการ์ดมาให้ค่อนข้างต่ำ เช่น 64 MB
128 MB 256 MB ตัวการ์ดจังพ่วงระบบ Hyper Memory / Turbo Cache มาให้
ซึ่งหน้าที่ของมันคือจะดึง เอาแรมของเครื่องมาใช้ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็ดูเอาข้างกล่อง
หรือเปิดค้นหาข้อมูลที่ผู้ผลิตก็ได้ครับ ว่าแชร์แรมเครื่องมามากแค่ไหน
บางท่านอาจจไม่รู้ว่าไอ้ระบบนี้บางทีมันก็หลอกเราเพราะว่าบางคน
ไม่เข้าใจเห็นว่ามีระบบ Hyper Memory / Turbo Cache 1024 MB (1GB)
โห..ตาโตครับพี่น้อง เลยซื้อมา เอาครับ โดนหลอกไปเต็มๆเหมือนน้องคนนึง
เขามาโม้ให้ผมฟังว่าการ์ดเขามีแรม 1 GB เศร้าน่ะ

****SLI / CrossFire
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ SLI / CrossFire กล่าวคือ
มันเป็นระบบต่อการ์ดจอ 2 ตัวครับ(ตอนนี้มีต่อ3กับ4ตัวแล้วนะ อิอิ)
แต่ก็เอาเถอะน่าอย่างเราๆ 2 การ์ด ก็เอาให้คุ้มกันก่อนนะ ทางฝั่งของ
ATI เรียกว่า CrossFire Nvidia เรียกว่า SLI ทั้งนี้เวลาเลือกซื้อหรือจะเอามาอัพเกรด
ควรดูด้วยว่า เมนบอร์ดของท่านรองรับหรือไม่ สิ่งสำคัญที่บอร์ดต้องมีก็คือ
Slot PCI-Express16x 2 Slot(ในรุ่นปัจจุบันนะเพราะมันใช้การ์ด PCI กัน
หมดบ้านหมดเมืองกันแล้ว)และชิปเซ็ทต้องรองรับด้วยเช่นกัน
(ถ้ากล่องมันเขียนว่ารองรับ SLI / CrossFireยังไงก็ใช้ได้)
การใช้งานก็ง่ายๆแค่ต่อสาย(Bridge)ระหว่างการ์ด 2 ตัวเข้าด้วยกัน